เป็นเรื่อง! ยื่นศาลล้มประกาศห้ามขนข้าว หลัง ตร.ลำพูนจับ ตั้งวงเงินประกันรถสูงลิ่ว

เชียงใหม่/ลำพูน - เถ้าแก่โรงสีแปดริ้วยื่นศาลปกครองฟ้อง รมว.พาณิชย์-อธิบดีกรมการค้าภายใน ยันคณะกรรมการกลางราคาสินค้าล้มประกาศห้ามขนข้าวข้ามเขต ชี้หมดยุค “จำนำข้าว” แล้ว หลังถูก ตร.ลำพูนดักจับรถขนข้าว เรียกวางเงินประกันรถสูงลิ่วจนไม่มีจ่าย

จากกรณีที่เมื่อวันที่ 11 พ.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงลำพูน นำโดย ร.ต.อ.ดำริ ศรีมาบุตร รอง สว.ส.ทล.2 กก.5 บก.ทล.ลำพูน พร้อมกับพวก ได้ตั้งด่านตรวจรถบรรทุกน้ำหนักเกินที่บริเวณถนนทางหลวงหมายเลข 116 กิโลเมตรที่ 16-17 สายอ้อมเมือง ต.ม่วงน้อย อ.ป่าซาง จ.ลำพูน และจับรถบรรทุกข้าวเปลือกได้ 2 คัน ตรวจสอบผู้ขับขี่ไม่มีใบอนุญาตขนย้าย จึงได้กักรถไว้ที่ สภ.ป่าซาง จากการตรวจสอบบนรถพบข้าวเปลือกเหนียวสันป่าตอง ลักษณะเพิ่งเก็บเกี่ยว เมล็ดข้าวยังเขียวและอ่อนอยู่ โดยคันแรกมีน้ำหนักข้าวเปลือก 16,280 กก. คันที่ 2 น้ำหนักรวม 34,370 กก.

จากนั้น เมื่อวันที่ 13 พ.ค. เจ้าของลานข้าวที่เป็นผู้ใหญ่บ้าน พร้อมชาวบ้าน อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ ราว 50 กว่าคน ได้พากันเดินทางไปที่ สภ.ป่าซาง จ.ลำพูน กดดันให้เจ้าหน้าที่ปล่อยตัวผู้ต้องหาและรถบรรทุกในคดีลักลอบขนย้ายข้าวเปลือกเกินกว่ากฎหมายกำหนดโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งถูกจับกุมได้เมื่อวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยอ้างว่าเป็นคนขายข้าวให้ผู้ซื้อ แต่ยังไม่ได้เงิน แต่เจ้าหน้าที่ให้ประกันตัว 2 ผู้ต้องหาเท่านั้น

ด้านความคืบหน้าในเรื่องนี้ ล่าสุด วันนี้ (14 พ.ค.) นายพิเชษฐ โตนิติวงศ์ เจ้าของโรงสีศิริภิญโญ และกรรมการผู้จัดการ บริษัท มนัสไรซ์ เทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า ได้เข้ายื่นเรื่องต่อศาลปกครองกลางเพื่อฟ้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ, อธิบดีกรมการค้าภายใน เลขาธิการคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ และคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ

นายพิเชษฐระบุว่า ประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นเพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์ข้าวในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล ซึ่งห้ามขนย้ายข้าวเปลือก ข้าวสารเกิน 5 ตันขึ้นไป เข้ามาหรือออกจากท้องที่จังหวัดที่กำหนด เว้นแต่ได้รับหนังสืออนุญาตโดยหลักเกณฑ์ และวิธีการในการขออนุญาต การอนุญาต แบบหนังสืออนุญาต วิธีการขนย้ายให้เป็นไปตามที่เลขาธิการกำหนด

แต่ขณะนี้ไม่มีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลอีกแล้ว เป็นการค้าขายปกติ ซึ่งทางโรงสีศิริภิญโญ จังหวัดฉะเชิงเทรา รับซื้อข้าวเปลือกเหนียวจากจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย มาตั้งแต่ปี 45 เป็นต้นมา และนาปรังปีนี้เริ่มรับซื้อตั้งแต่ 18 เม.ย. 57 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ผ่านท่าข้าวนครกิตการเกษตร อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ และสหกรณ์การเกษตรอำเภอสันป่าตอง รวมทั้งสหกรณ์การเกษตรอำเภอหางดง จากนั้นได้ขนย้ายข้าวเปลือกเหนียวสดมาอบลดความชื้นที่โรงสีศิริภิญโญ จ.ฉะเชิงเทรา มาโดยตลอด

กระทั่งคืนวันอาทิตย์ที่ 11 พ.ค. 57 รถบรรทุกที่ทางโรงสีว่าจ้างให้บรรทุกข้าวเปลือกจากท่าข้าวนครกิตการเกษตร อ.สันป่าตอง หมายเลขทะเบียน 70-0677 ลำพูน และหมายเลขทะเบียน 70-5411 และ 70-5412 ลำปาง ถูกตำรวจทางหลวงลำพูนจับกุม แล้วนำมาฝากขังต่อที่ สภ.ป่าซาง จ.ลำพูน ในข้อกล่าวหาว่าขนย้ายข้าวเปลือกซึ่งมีปริมาณตั้งแต่ห้าเมตริกตันขึ้นไปโดยไม่ได้รับอนุญาต

เช้าวันต่อมา (12 พ.ค.) ทางโรงสีได้ให้ท่าข้าวนครกิตการเกษตรไปดำเนินการขอใบอนุญาตขนย้ายข้าวเปลือกหรือข้าวสาร เลขที่ 196548 และ 196549 ตั้งแต่เช้า แต่ได้ใบอนุญาตเกือบเที่ยง ก่อนนำส่งมอบให้ พ.ต.ท.นพดล โสภณจิต ร้อยเวร สภ.ป่าซาง เพื่อให้ดำเนินการปล่อยรถบรรทุกข้าวเปลือกทั้ง 2 คัน แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่รับไว้พิจารณา

ตร.สภ.ป่าซางบอกแต่ว่า ความผิดได้เกิดขึ้นแล้ว จะมาขอใบอนุญาตย้อนหลังไม่ได้ และเป็นคดีอาญา ตามมาตราที่ระบุไว้ในประกาศของคณะกรรมการกลางฯ ทั้งที่ตามข้อเท็จจริงเจตนาของประกาศนั้นทำเพื่อให้ผู้ประกอบการระบุว่าการขนย้ายข้าวเปลือกนั้นขนจากต้นทางที่ไหน ไปยังปลายทางที่ไหน หากได้รับการอนุญาตก็ให้สามารถขนย้ายได้

นายพิเชษฐระบุอีกว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อคนขับรถบรรทุกทั้ง 2 คันติดคุก เข้าห้องขัง ตนได้โอนเงินให้นางศรีพรรณ เตชะพันธุ์ ไปประกันตัวผู้ต้องหา และข้าวเปลือกรวมแล้วเป็นเงิน 250,000 บาท แต่ไม่มีเงินประกันรถบรรทุก 3,200,000 ล้านบาท ตามที่ร้อยเวรฯ แจ้งให้ทราบ และจนถึงวันนี้ (14 พ.ค.) บัดนี้รถบรรทุกข้าวเปลือกทั้งสองคันยังไม่ได้นำข้าวเปลือกไปลง ซึ่งข้าวเปลือกเหนียวสดๆ ที่ชาวนาเกี่ยวมาขายให้ยังมีความชื้นอยู่ประมาณ 30% หากไม่ได้รับการอบลดความชื้นภายใน 36 ชั่วโมงจะทำให้เสื่อมคุณภาพ

นายพิเชษฐบอกว่า ตนได้ยื่นขอให้ศาลปกครองไต่สวนฉุกเฉิมคุ้มครองชั่วคราว ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีภูธรป่าซาง จังหวัดลำพูน ปล่อยรถบรรทุก 2 คัน ให้สามารถนำข้าวเปลือกเหนียวสดนั้นมาอบลดความชื้นที่โรงสีศิริภิญโญก่อนโดยไม่ต้องค้ำประกันรถ เพราะทางโรงสีจะต้องนำเงินไปจ่ายชำระค่าข้าวเปลือกของชาวนาที่ยังค้างชำระอยู่

พร้อมกับขอให้ศาลปกครองพิจารณายกเลิกประกาศของสำนักงานคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เรื่อง หลักเกณฑ์ และวิธีการในการขออนุญาต การอนุญาต แบบหนังสืออนุญาต และวิธีการขนย้ายข้าวเปลือก ข้าวสาร ปี 2557

นอกจากนี้ยังเรียกร้องค่าเสียหายจากข้าวเสื่อมสภาพ โดยให้ทางกระทรวงพาณิชย์รับซื้อข้าวเปลือกที่เสื่อมสภาพนี้ในราคาต้นทุนที่ซื้อจากชาวนาและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการทั้งหมด ได้แก่ ค่าบริการท่าข้าว ค่าขนส่งข้าวเปลือกจากเชียงใหม่มาฉะเชิงเทรา ค่าอบลดความชื้น ค่าเสียโอกาสในการประกอบธุรกิจของทั้งโรงสีข้าวและรถบรรทุกข้าว