กาญจนบุรี - สถานปฏิบัติธรรมชื่อดัง “สำนักป่าสุญญตาราม” อำเภอสังขละบุรี เริ่มที่จะคึกคักอีกครั้ง หลังอดีต “พระยันตระ” ที่หนีคดีไปอยู่ต่างประเทศกว่า 20 ปี ได้กลับมาเมืองไทยแล้ว และมีกระแสข่าวจะกลับมาอยู่ที่สำนักป่าสุญญตาราม ตามเดิม “พระผู้ดูแล” สำนักป่าสุญญตารามเผยสุดดีใจที่ท่านกลับมา
คลิกเพื่อชมคลิป
จากกรณี นายวินัย ละอองสุวรรณ หรืออดีต “พระยันตระ อมโรภิกขุ” เจ้าอาวาสวัดลิเจียและเจ้าสำนักป่าสุญญตาราม สถานปฏิบัติธรรมชื่อดัง ตั้งอยู่หมู่ 4 ต.ปรังเผล อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ที่หนีไปอยู่ประเทศสหรัฐอเมริกา นานกว่า 20 ปี ล่าสุดได้สร้างความฮือฮาให้กับคนไทยทั้งประเทศ เมื่อเดินทางกลับเมืองไทย และได้ไปพักอาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นบ้านเกิดพร้อมสาวกประมาณ 10 คน โดยบอกว่าอยากกลับมาอยู่ที่สำนักป่าสุญญตารามตามเดิม
ล่าสุด วันที่ 24 เม.ย.ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปสำรวจบรรยากาศภายนอกและภายในสำนักป่าสุญญตาราม ซึ่งอยู่ติดกับถนนแสงชูโตสาย 323 กาญจนบุรี-สังขละบุรี หมู่ที่ 4 ต.ปรังเผล อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี หลังจากบรรยากาศเงียบเหงามานานร่วม 20 ปี แต่วันนี้เริ่มที่จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากอดีตพระยันตระ อมโรภิกขุ ได้กลับเข้ามายังประเทศไทย และมีข่าวว่าอดีตพระยันตระ อมโรภิกขุ จะกลับมาอยู่ที่สำนักป่าสุญญตารามแห่งนี้
โดยพบว่าวันนี้ได้มีประชาชนจำนวนหนึ่งมาเล่นน้ำตกเกิงกาเวีย แม้จะไม่มากนัก แต่ก็เริ่มบ่งบอกถึงความคึกคัก และมีร้านค้าที่ตั้งเรียงรายอยู่ด้านหน้าที่เคยเงียบเหงา ก็เริ่มมีประชาชน รวมทั้งข้าราชการในพื้นที่มาใช้บริการรับประทานอาหารกันมากพอสมควร
ส่วนบรรยากาศภายในบริเวณสำนักป่าสุญญตาราม ยังคงมีพระสงฆ์ สามเณร และญาติโยมปฏิบัติธรรมอยู่ภายในจำนวนหนึ่ง โดยมีพระอนันต์ อภินันโท ซึ่งเป็นผู้ผู้ดูแลสำนักป่าสุญญตารามแห่งนี้อยู่
พระอนันต์ อภินันโท เปิดเผยว่า อาตมาและพระลูกวัด รวมทั้งญาติโยมที่อาศัยอยู่ภายในและภายนอกสำนักป่าสุญญตาราม ทุกคนต่างมีความปลื้มและดีใจเป็นอย่างมากที่ท่านยันตระ อมโรภิกขุ ได้กลับมาประเทศบ้านเกิด โดยไม่มีคดีความใดๆ ติดตัว ทุกคนอยากให้ท่านกลับมาอยู่ที่สำนักป่าสุญญตารามตามเดิม เพราะท่านได้ไปอยู่ต่างประเทศนานเกือบ 20 ปี ทุกคนต่างรอคอยการกลับมาของท่านทุกวัน
เบื้องต้นทราบข่าวว่าท่านจะกลับมาอยู่ที่นี่ แต่อาตมาก็ยังไม่ได้พูดคุยโดยตรง และยังไม่รู้ว่าท่านจะกลับมาอยู่ที่นี่เมื่อไหร่อย่างไร และขณะนี้ก็ยังไม่มีการจัดเตรียมห้องพักเอาไว้ให้ สำหรับห้องพัก หรือกุฏิ เดิมที่ท่านเคยพัก เริ่มมีสภาพที่เสื่อมโทรม ผุพังไปตามกาลเวลาเพราะก่อสร้างด้วยไม้
ตั้งแต่ท่านไปอยู่ต่างประเทศ สำนักป่าสุญญตารามก็ได้จัดกิจกรรมตามปกติ เหมือนสมัยที่ท่านยังคงอยู่ที่นี่ สำหรับกิจกรรมการบวชภาคฤดูร้อนปีนี้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 9 เม.ย. ที่ผ่านมา มีบวชพระจำนวน 30 รูป บวชเณร 83 รูป และเด็กๆ นักเรียนผู้หญิงมานุ่งขาวห่มขาวเป็นธรรมจารี ปฏิบัติธรรม จำนวน 57 คน ถามว่ากังวลเกี่ยวกับเรื่องในคดีของท่านในอดีตหรือไม่
“ส่วนตัวตอบได้เลยว่า ไม่มีความกังวลและยังเชื่อว่าท่านยังบริสุทธิ์ เพราะอาตมาติดตามท่านมาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก และลูกศิษย์ที่อยู่ภายในสำนักป่าสุญญตาราม ที่อยู่ร่วมกันมานาน ต่างก็มีความเชื่อมั่นในตัวท่านเป็นอย่างมากเช่น กันส่วนญาติโยมที่อยู่ภายนอกอาจจะมีความกังวลบ้างเล็กน้อยเป็นเรื่องธรรมดา”พระอนันต์ กล่าว
ย้อนเรื่องราว "อดีตพระยันตระ อมโรภิกขุ"
นายวินัย ละอองสุวรรณ หรือที่รู้จักดีในชื่ออดีตพระยันตระ อมโรภิกขุ (พระวินัย อมโร) เป็นชาวนครศรีธรรมราช เกิดเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2497 เนื่องจากเคยเป็นพระสงฆ์นักปฏิบัติธรรมชื่อดังที่มีผู้เคารพศรัทธามากของเมืองไทยและต่างประเทศในช่วงหนึ่ง ก่อนจะถูกฟ้องคดีกล่าวหาว่าต้องปาราชิกาธิกรณ์และถูกมติมหาเถรสมาคมลงให้พ้นจากภาวะพระภิกษุ และหลบหนีออกนอกประเทศเมื่อปี พ.ศ.2537 ไปอาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาในสถานะผู้ลี้ภัยทางการเมืองจนถึงปัจจุบัน
นายวินัย ละอองสุวรรณ เป็นชาวนครศรีธรรมราช ก่อนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เขาได้ปฏิบัติตนเป็นนักพรตฤๅษีอยู่หลายปีจนเป็นที่รู้จักกว้างขวาง ต่อมาได้อุปสมบทเป็นพระสงฆ์ในธรรมยุติกนิกายเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2517 ณ พัทธสีมาวัดรัตนาราม อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช
พระวินัย เมื่ออุปสมบทมักใช้คำแทนตัวว่า พระยันตระ ซึ่งแปลว่าผู้ไกลจากกิเลส ที่เคยใช้มาตั้งแต่ยังเป็นฤๅษียันตระ เมื่อบวชแล้วเป็นที่รู้จักดีทำให้มีผู้ศรัทธาบวชเพื่อเข้าเป็นลูกศิษย์มากมาย ทำให้เขามักแวดล้อมไปด้วยพระสงฆ์คอยอุปัฏฐากอยู่เสมอๆ
นอกจากนี้ยังมีผู้ศรัทธาสร้างสำนักวัดถวายเขาหลายแห่ง โดยทุกวัดที่สร้างในสำนักเขาจะใช้คำว่า "สุญญตาราม" ประกอบด้วยเสมอ สำนักที่เป็นที่รู้จักดีคือ วัดป่าสุญญตาราม กาญจนบุรี และยังมีสำนักวัดป่าสุญญตารามของเขาในต่างประเทศอีกหลายแห่ง เช่นที่ วัดป่าสุญญตาราม เมืองบันดานูน รัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย เป็นต้น
ด้วยวัตรปฏิบัติรวมถึงคำสอนของเขา ทำให้พระวินัยถือเป็นพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดในยุคนั้น มีการตีพิมพ์เผยแพร่คำสอนรวมถึงได้รับนิมนต์ไปเทศนายังที่ต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ คำสอนของเขาเน้นแนวทางปฏิบัติกรรมฐานซึ่งได้รับการยอมรับจากนักวิชาการศาสนาว่าถูกต้องกับพระไตรปิฎก
อย่างไรก็ดี ในปี พ.ศ. 2537 เขาได้ถูกฟ้องร้องหลายข้อหาและถูกตั้งอธิกรณ์ว่าล่วงละเมิดเมถุนธรรมปาราชิกาบัติ อันเป็นหนึ่งในจตุตถปาราชิกาบัติที่ทำให้ขาดจากความเป็นพระภิกษุตามพระวินัยบัญญัติ โดยมีการต่อสู้ด้วยพยานหลักฐานมากมายตามสื่อต่าง ๆ เป็นข่าวโด่งดังในสมัยนั้น
สีกากลุ่มหนึ่งยื่นหนังสือร้องเรียนต่อสมเด็จพระสังฆราชฯ และอธิบดีกรมการศาสนาว่า นายวินัย ละอองสุวรรณ เดินทางไปเทศนาที่ทวีปยุโรป ระหว่างลงเรือเดินสมุทรไม่สำรวมและมีความไม่เหมาะสมกับสมณเพศต่อสุภาพสตรี
มีเทปบันทึกการสนทนากับนางจันทิมา มายะรังษี หนึ่งในสีกาที่ร้องเรียนว่า นายวินัยล่อลวงเสพเมถุน, มีเอกสารของหม่อมดุษฎี บริพัตร อดีตโยมอุปัฏฐากคนสำคัญที่กล่าวถึงพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมต่อความเป็นพระสงฆ์ ในขณะเดินทางไปต่างประเทศ และมีหลักฐานการลอกเลียนบทกวีของ ดร.ระวี ภาวิไล
มีข้อกล่าวหาที่ได้รับการเผยแพร่ออกมาว่า มีเพศสัมพันธ์กับสตรีบนดาดฟ้าเรือเดินสมุทรระหว่างทางจากประเทศสวีเดนไปยังประเทศฟินแลนด์, จับต้องกายสตรีด้วยความกำหนัด ณ กุฏิริมน้ำ วัดป่าสุญญตาราม ประเทศออสเตรเลีย, เข้าไปหาสตรีในรถตู้ของเธอบนท้องถนนกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย, ร่วมหลับนอนกับสตรี และพร่ำพูดถึงความรักทางโทรศัพท์ (มีหลักฐานเป็นเทปบันทึกเสียง)
นางจันทิมา พาเด็กหญิงซึ่งอ้างว่าเป็นบุตรสาวมาแสดงตัว พร้อมกับนำภาพถ่ายการใช้ชีวิตเยี่ยงสามีภรรยามาเปิดเผย มีการท้าให้ตรวจดีเอ็นเอ มีการเปิดเผยสลิปบัตรเครดิตที่มีโยมอุปัฏฐากบริจาคให้ ซึ่งถูกนำไปใช้ในสถานบริการทางเพศในประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ รวมทั้งหลักฐานการเปิดโรงแรมและเช่ารถร่วมกับสตรีเพียงสองต่อสอง
จนในที่สุดเขาได้ถูกมติมหาเถรสมาคมพิจารณาอธิกรณ์ปรับให้เขาพ้นจากความเป็นพระภิกษุ เพราะพิจารณาได้ความว่าเขาต้องอาบัติหนักดังที่ถูกฟ้องร้อง แต่นายวินัยไม่ยอมรับมติสงฆ์ดังกล่าว ด้วยการปฏิญาณตนว่ายังเป็นพระภิกษุและเปลี่ยนสีจีวรเป็นสีเขียว ทำให้ถูกสื่อต่าง ๆ ขนานนามว่า จิ้งเขียว, สมียันดะ, ยันดะ เป็นต้น
ก่อนที่นายวินัย จะลักลอบทำหนังสือเดินทางปลอมเพื่อหลบหนีออกจากประเทศไทยไปอยู่ในสหรัฐอเมริกาและได้รับสถานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง ทำให้นายวินัยสามารถหลบหนีคดีความอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้จนถึงปัจจุบัน
อดีตพระยันตระ เดินทางกลับเยี่ยมบ้านเกิดตัวเองหลังคดีหมดอายุความเข้ากราบอดีตพระอุปัชฌาย์ที่เคยเป็นผู้อุปสมบทให้ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อ 23 เมษายน 2557 โดยนายวินัย ละอองสุวรรณ หรืออดีตพระยันตระ อมโรภิกขุ ที่ต้องอธิกรณ์และหลบไปอาศัยอยู่ในประเทศอเมริกาเมื่อ 20 ปีที่แล้วได้เดินทางกลับมายังภูมิลำเนาเดิมในบ้านบางบ่อ เขตเทศบาลเมืองปากพนัง ตำบลปากพนัง อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช หลังจากที่คดีต่างๆ
โดยเฉพาะคดีที่ก้าวล่วงองค์สมเด็จพระสังฆราช ได้หมดอายุความลงนายวินัย ละอองสุวรรณ ได้เดินทางกลับมายังประเทศไทยอีกครั้งแบบเงียบๆ โดยได้มาอาศัยอยู่ในอำเภอปากพนัง และยังคงมีการแต่งกายด้วยผ้าคล้ายจีวรที่มีทั้งสีกลักและสีเขียว ทับเสื้อแขนยาว ผมยาวสีขาวผูกรวบไว้ หนวดเคราขาวยาวเฟิ้ม รูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์
ผู้ใกล้ชิดของนายวินัย ละอองสุวรรณ ระบุว่า นายวินัยได้เดินทางมายังนครศรีธรรมราช ตั้งแต่ช่วงสงกรานต์เพื่อมากราบพระครูสุธรรมาจารย์ หรือพ่อท่านเชื่อง เจ้าอาวาสวัดรัตนาราม หรือวัดบางบ่อ ที่บ้านบางบ่อ ตำบลปากพนัง อำเภอปากพนัง ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาจารย์ ของนายวินัย เมื่อครั้งอุปสมบท และได้มาพักอยู่ที่อาศรมที่ปลุกสร้างขึ้นหลังบ้านเดิมของนายวินัย โดยมีผู้ที่ยังเคารพนับถือเดินทางมาเยี่ยมเยียนและเชิญไปยังสถานที่ต่างๆหลายจังหวัดในภาคใต้ โดยจะเดินทางกลับอเมริกาในวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ซึ่งทราบว่าจะปักหลักอาศัยอยู่ที่อเมริกาตลอด