ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - “กิตติรัตน์” ชี้โครงสร้างพื้นฐานไทยขาดการพัฒนามานานต้องเร่งปรับปรุงเพิ่มศักยภาพแข่งขัน-เชื่อมโยงเพื่อนบ้าน ระบุตัวเลขวงเงิน 2 ล้านล้านอาจดูเยอะแต่เทียบกับระดับการลงทุนภาครัฐ-ตัวเลขจีดีพีแล้วถือว่าเหมาะสม ยันออกกฎหมายกู้เงินไม่ใช่เรื่องใหม่ทำมาหลายครั้งแล้ว
ประชาชนจำนวนมากให้ความสนใจเข้าชมนิทรรศการ “สร้างอนาคตไทย 2020” ซึ่งจัดขึ้นที่เชียงใหม่ฮอลล์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงใหม่แอร์พอร์ตในวันนี้ (15 พ.ย.) ขณะที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังระบุว่า การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเป็นเรื่องที่จำเป็น ส่วนวงเงินที่ใช้ในการลงทุนแม้จะมีตัวเลขที่สูง แต่ก็ไม่เกินสัดส่วนที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับตัวเลขทางเศรษฐกิจของประเทศ
นิทรรศการดังกล่าวซึ่งจัดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ในระหว่างวันที่ 15-17 พ.ย.ได้ทำพิธีเปิดงานแล้วในช่วงบ่ายวันนี้ โดยมีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนานคมเป็นประธานเปิดงาน ท่ามกลางข้าราชการและภาคเอกชน รวมถึงผู้แทนจากองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมในพิธี
ทั้งนี้ จังหวัดเชียงใหม่ถือเป็นจังหวัดล่าสุดที่มีการจัดนิทรรศการสร้างอนาคตไทย 2020 ขึ้น หลังจากที่นิทรรศการดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 4 ต.ค.ที่ผ่านมา และจัดกิจกรรมสัญจรไปตามจังหวัดต่างๆ ภายใต้วัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการลงทุนปรับโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมและขนส่งของประเทศ พร้อมทั้งรวบรวมความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่เพื่อพัฒนาแผนงานให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน ผ่านทางนิทรรศการแผนผังข้อมูลต่างๆ รวมไปถึงการจัดการเสวนาและปาฐกถา
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในระหว่างทำพิธีเปิดงานว่า ประเด็นที่มีผู้ให้ความสนใจและสอบถามกันเป็นจำนวนมากเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว คือเรื่องที่ว่าทำไมประเทศไทยจึงจำเป็นต้องลงทุนในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน และเหตุใดงบประมาณที่รัฐบาลจะกู้มาใช้จึงสูงถึง 2 ล้านล้านบาท
สำหรับในประเด็นแรกนั้นต้องชี้แจงว่าประเทศไทยไม่มีการลงทุนในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่โดยเฉพาะด้านการคมนาคมมานานแล้ว โดยการลงทุนขนาดใหญ่สองครั้งล่าสุดคือการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังในสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิในสมัยรัฐบาลของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งทั้งสองโครงการมีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างชัดเจน แต่หลังจากนั้นไทยก็ไม่มีการพัฒนาในลักษณะดังกล่าวอีกเลย ขณะที่ในอนาคตไทยจำเป็นที่จะต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้ประเทศมีศักยภาพที่จะแข่งขันในตลาดโลกได้ รวมทั้งต้องเตรียมความพร้อมเพื่อเชื่อมโยงกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน ดังนั้นการตัดสินใจลงทุนในเรื่องดังกล่าวจึงมีความจำเป็นและเป็นสิ่งที่เหมาะสม
ส่วนกรณีของงบประมาณที่จะมีการออกกฎหมายเพื่อกู้เงินมาลงทุนในโครงการดังกล่าวถึง 2 ล้านล้านบาทนั้น นายกิตติรัตน์กล่าวว่าตัวเลขดังกล่าวอาจจะดูค่อนข้างสูง แต่หากพิจารณาขนาดเศรษฐกิจของประเทศซึ่งมีผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติสูงกว่า 12 ล้านล้านบาทแล้ว ตัวเลขดังกล่าวก็ถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสม
ทั้งนี้ ยืนยันว่าการตัดสินใจออกกฎหมายเพื่อกู้เงินมาลงทุนในโครงการดังกล่าว เพราะหากใช้ขั้นตอนตามงบประมาณปกติจะขาดความต่อเนื่อง อีกทั้งการออกกฎหมายเพื่อระดมเงินในลักษณะนี้ก็เคยมีการดำเนินการมาแล้วในหลายรัฐบาล อีกทั้งที่ผ่านมาระดับการลงทุนของภาครัฐยังต่ำกว่าระดับความเหมาะสมในการลงทุน ดังนั้น การลงทุนในครั้งนี้จึงจะช่วยสร้างความสมดุลให้สภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างแน่นอน