อุบลราชธานี - “พีมูฟ” ออกแถลงการณ์เรียกร้องหยุดสร้างความขัดแย้ง ด้วยการถอน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมออกจากวุฒิสภา หวั่นทำความขัดแย้งบานปลายรุนแรง จี้นักการเมืองสนใจแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนมากกว่าการแก้ไขปัญหาการเมืองเพื่อประโยชน์พวกพ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (1 พ.ย.) ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) หรือ P-move ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 38 เรียกร้องให้หยุดสร้างความขัดแย้ง ด้วยการยับยั้ง หรือถอน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมออกจากวุฒิสภา
โดยแถลงการณ์ระบุว่า ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่ได้ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนฯ และกำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาในขณะนี้ ได้กลายเป็นข้อถกเถียงสำคัญของคนในสังคมไทย ทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยนั้น ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) ซึ่งเป็นกลุ่มประชาชนที่ไม่ฝักใฝ่การเมือง เคลื่อนไหวเรียกร้องความเป็นธรรมของคนจน ในการแก้ไขปัญหาปากท้อง พวกเราได้ติดตามความเคลื่อนไหวดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง และด้วยการที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย พวกเราจึงจำเป็นที่จะต้องแสดงจุดยืนต่อกรณี พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ดังนี้
1. เป้าหมายหลักของการให้มี พ.ร.บ.นิรโทษกรรม นั้นก็เพื่อจะเป็นเครื่องมือในการสร้างความปรองดองของคนในสังคมไทย ซึ่งได้รับบาดแผลจากความเห็นต่างทางการเมืองที่กลายเป็นความขัดแย้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) เห็นว่า การสร้างความปรองดองต้องอยู่บนหลักการของความยุติธรรมต่อทุกฝ่าย และให้เคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการแสวงหาความเป็นธรรม
2. ผลผลิตของการเผชิญหน้าที่ผ่านมา มีประชาชนบางส่วนถูกคุมขัง สูญเสียอิสรภาพซึ่งเกิดจากความเชื่อทางการเมืองที่แตกต่างจากฝ่ายรัฐในขณะนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องหาทางคืนอิสรภาพให้กับประชาชนกลุ่มดังกล่าวเป็นลำดับแรก
3. มูลเหตุสำคัญที่นำมาสู่ความขัดแย้งที่ผ่านมา ล้วนเกิดมาจากความเลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรม ที่เกิดจากโครงสร้างทางสังคม คนรวยรวยกระจุก คนจนจนกระจาย ที่นำไปสู่การแบ่งค่ายเลือกข้างตามความคิดเชื่อของแต่ส่วน แล้วปะทุขึ้นกลายเป็นการเผชิญหน้านำไปสู่ความรุนแรงในหลายๆ เหตุการณ์นั้น บรรดาชนชั้นนำ และนักการเมือง กลับไม่ได้ให้ความสำคัญที่จะแก้ไขปัญหาเพื่อลดความเลื่อมล้ำ นำความเป็นธรรมมาสู่สังคม แต่นับวันจะแย่งกันสร้างความขัดแย้ง และหนีห่างจากการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน มุ่งเล่นกลเกมส์การเมืองกันไปวัน ๆ ซึ่งประชาชนไม่ได้ประโยชน์ และยังเป็นการซ้ำเติมสังคมไทยให้ตกต่ำไปอีก
ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) ขอเสนอทางออกต่อกรณีดังกล่าว ดังนี้ 1. ให้สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสมาชิก ยับยั้ง (หรือ) ถอนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับดังกล่าวออกจากการพิจารณาของวุฒิสภา เพื่อลดบรรยากาศความขัดแย้ง ก่อนสถานการณ์จะลุกลามปานปลาย จนนำไปสู่ความรุนแรง
2. ให้บรรดาชนชั้นนำ และนักการเมืองทั้งหลาย ได้ให้ความสำคัญต่อปัญหาปากท้องของประชาชน และร่วมมือกันแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน มากกว่าการแก้ไขปัญหาการเมือง ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) ยืนยันว่าการสร้างความปรองดองในสังคมไทยมีความจำเป็นเร่งด่วน แต่กระบวนการสร้างความปรองดองนั้นต้องเกิดจากความร่วมมือ ความเห็นพ้องของคนทุกภาคส่วนในสังคมไทย ความขัดแย้งและความรุนแรงที่ผ่านมาได้สร้างความเจ็บปวดมามากพอแล้ว สังคมไทยควรนำมาเป็นบทเรียนเพื่อก้าวไปข้างหน้าร่วมกัน เพราะทุกภาคส่วนล้วนเป็นหุ้นส่วนในสังคมเดียวกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (1 พ.ย.) ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) หรือ P-move ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 38 เรียกร้องให้หยุดสร้างความขัดแย้ง ด้วยการยับยั้ง หรือถอน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมออกจากวุฒิสภา
โดยแถลงการณ์ระบุว่า ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่ได้ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนฯ และกำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาในขณะนี้ ได้กลายเป็นข้อถกเถียงสำคัญของคนในสังคมไทย ทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยนั้น ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) ซึ่งเป็นกลุ่มประชาชนที่ไม่ฝักใฝ่การเมือง เคลื่อนไหวเรียกร้องความเป็นธรรมของคนจน ในการแก้ไขปัญหาปากท้อง พวกเราได้ติดตามความเคลื่อนไหวดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง และด้วยการที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย พวกเราจึงจำเป็นที่จะต้องแสดงจุดยืนต่อกรณี พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ดังนี้
1. เป้าหมายหลักของการให้มี พ.ร.บ.นิรโทษกรรม นั้นก็เพื่อจะเป็นเครื่องมือในการสร้างความปรองดองของคนในสังคมไทย ซึ่งได้รับบาดแผลจากความเห็นต่างทางการเมืองที่กลายเป็นความขัดแย้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) เห็นว่า การสร้างความปรองดองต้องอยู่บนหลักการของความยุติธรรมต่อทุกฝ่าย และให้เคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการแสวงหาความเป็นธรรม
2. ผลผลิตของการเผชิญหน้าที่ผ่านมา มีประชาชนบางส่วนถูกคุมขัง สูญเสียอิสรภาพซึ่งเกิดจากความเชื่อทางการเมืองที่แตกต่างจากฝ่ายรัฐในขณะนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องหาทางคืนอิสรภาพให้กับประชาชนกลุ่มดังกล่าวเป็นลำดับแรก
3. มูลเหตุสำคัญที่นำมาสู่ความขัดแย้งที่ผ่านมา ล้วนเกิดมาจากความเลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรม ที่เกิดจากโครงสร้างทางสังคม คนรวยรวยกระจุก คนจนจนกระจาย ที่นำไปสู่การแบ่งค่ายเลือกข้างตามความคิดเชื่อของแต่ส่วน แล้วปะทุขึ้นกลายเป็นการเผชิญหน้านำไปสู่ความรุนแรงในหลายๆ เหตุการณ์นั้น บรรดาชนชั้นนำ และนักการเมือง กลับไม่ได้ให้ความสำคัญที่จะแก้ไขปัญหาเพื่อลดความเลื่อมล้ำ นำความเป็นธรรมมาสู่สังคม แต่นับวันจะแย่งกันสร้างความขัดแย้ง และหนีห่างจากการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน มุ่งเล่นกลเกมส์การเมืองกันไปวัน ๆ ซึ่งประชาชนไม่ได้ประโยชน์ และยังเป็นการซ้ำเติมสังคมไทยให้ตกต่ำไปอีก
ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) ขอเสนอทางออกต่อกรณีดังกล่าว ดังนี้ 1. ให้สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสมาชิก ยับยั้ง (หรือ) ถอนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับดังกล่าวออกจากการพิจารณาของวุฒิสภา เพื่อลดบรรยากาศความขัดแย้ง ก่อนสถานการณ์จะลุกลามปานปลาย จนนำไปสู่ความรุนแรง
2. ให้บรรดาชนชั้นนำ และนักการเมืองทั้งหลาย ได้ให้ความสำคัญต่อปัญหาปากท้องของประชาชน และร่วมมือกันแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน มากกว่าการแก้ไขปัญหาการเมือง ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) ยืนยันว่าการสร้างความปรองดองในสังคมไทยมีความจำเป็นเร่งด่วน แต่กระบวนการสร้างความปรองดองนั้นต้องเกิดจากความร่วมมือ ความเห็นพ้องของคนทุกภาคส่วนในสังคมไทย ความขัดแย้งและความรุนแรงที่ผ่านมาได้สร้างความเจ็บปวดมามากพอแล้ว สังคมไทยควรนำมาเป็นบทเรียนเพื่อก้าวไปข้างหน้าร่วมกัน เพราะทุกภาคส่วนล้วนเป็นหุ้นส่วนในสังคมเดียวกัน