กาญจนบุรี - หลวงปู่พุทธะอิสระ นำข้าราชการ ทหาร ตำรวจ เด็กนักเรียน และประชนปลูกป่าตามโครงการ “ลูกช่วยพ่อปลูกป่า” บริเวณพื้นที่หมู่ 8 ตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี กาญจนบุรี จวกนายทุนใจร้ายทำลายป่า เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน
เมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา หลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม นำข้าราชการ ทหาร ตำรวจ เด็กนักเรียน ประชาชนจำนวนมาก ร่วมปลูกป่าตามโครงการ “ลูกช่วยพ่อปลูกป่า” ที่บริเวณพื้นที่หมู่ 8 ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี โดยมีผู้แทนจากกองพลทหาราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์ ผู้แทนจังหวัดทหารบกกาญจนบุรี ผู้แทนทหารหน่วยเฉพาะกิจลาดหญ้า ผู้แทนสถานีตำรวจภูธรอำเภอสังขละบุรี และเจ้าหน้าที่อำเภอสังขละบุรีเข้าร่วม
หลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย กล่าวก่อนนำคณะเจ้าหน้าที่ปลูกต้นไม้ว่า เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันประเทศไทยของเรามีสงคราม สงครามที่หนึ่งคือ สงครามแย่งอำนาจ สงครามที่สองคือ สงครามแย่งทรัพยากร ที่นี่ไม่ใช่ที่แรกที่หลวงปู่เข้ามาปลูกป่า เพราะว่าเมื่อก่อนเข้าพรรษาก็เพิ่งจะกลับมาจากปลูกป่าที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีสงครามแย่งทรัพยากรเพราะว่า ผู้ที่มีอำนาจก็มัวแต่หลงระเริงฉกฉวยที่จะแย่งอำนาจกัน จนลืมไปว่าทรัพยากรเป็นสิ่งจำเป็นของคนในชาติ ก็เลยปล่อยให้ผู้ที่ได้ช่องโอกาส
โดยเฉพาะนายทุนใจร้ายทั้งหลายที่ไปจ่ายเงินให้ชาวบ้านจ้างให้ไปแผ้วถางป่าในราคาไร่ละ 3 พันบาท 5 พันบาท หรือไร่ละ 1 หมื่นบาทแล้วแต่ทำเล ที่เป็นทรัพยากรส่วนรวมของประเทศ ให้มันหมดไป แล้วก็คิดว่าเป็นทรัพย์สินของตนเอง ทำให้ชาวบ้านที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรรับจ้างแผ้วถางป่าไปพอถึงสามปีสี่ปี่ก็เข้ามายึดครองนำไปปลูกยางพาราบ้าง สร้างรีสอร์ตบ้าง ทั้งหมดนี้มาจากนายทุนใจร้ายที่ไม่มีใจเมตตาต่อแผ่นดิน ประเทศชาติ และประชาชนในท้องถิ่น และชนบท โดยการเอาชาวบ้านมาเป็นเครื่องมือ
สุดท้ายทำให้กระเป๋าของนายทุนตุง ส่วนกระเป๋าของประเทศชาติแฟบลงทุกวันๆ เพราะว่านายทุนใจร้ายไม่ได้สนใจในสิ่งแวดล้อม ถ้าไม่มีใครสักคนมาทำหน้าที่ หรือไม่มีกลุ่มใดเข้ามาทำหน้าที่เข้ามารักษาต้นน้ำลำธาร รักษาทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ มันก็จะจบลงเหมือนประเทศเอธิโอเปีย จบลงเหมือนทรัพยากรทั่วๆ ไปที่เขามีอยู่ในโลก และอีกหน่อยประเทศเราก็จะกลายเป็นทะเลาทราย และอีกหน่อยเราก็จะไม่เหลือแม้กระทั่งน้ำที่จะนำมาใช้
หากทุกคนหันไปมองภูเขาที่อยู่ด้านหลังก็จะพบว่า เป็นภูเขาหัวโล้น ซึ่งช่วงเช้าหลวงปู่ได้ขึ้นไปปลูกต้นไม้เอาไว้ ส่วนด้านหลังเขาก็พบว่าดินมันเริ่มถล่มลงมาเรื่อยๆ ซึ่งดินที่มันถล่มลงมาแล้วมันจะไปไหน มันก็จะลงมาปิดกั้นแม่น้ำลำคลองที่มีอยู่ ก็จะทำให้ลำคลองตื้นเขิน ต่อไปน้ำก็จะไหลเอ่อล้นเข้าไปท่วมบ้านเรือนประชาชน ตามที่มีข่าวออกมาเป็นประจำ ก็เพราะว่าเราทำร้ายตัวเราเอง ทั้งหมดจะต้องปลุกจิตสำนึกโดยเฉพาะผู้นำท้องถิ่น ผู้นำชุมชน ชาวบ้านและลูกหลาน และเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ต้องตระหนักว่านี่มันเป็นภัยอันตรายอย่างยิ่ง
เมื่อเดือนที่แล้วหลวงปู่ไปเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตอนที่พระองค์ยังไม่เสด็จออกจากโรงพยาบาลศิริราช และได้ถวายเงินแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งท่านพระราชเลขาถามว่าจะเอาเงินนี้ไปทำอะไร ก็บอกว่าเอามาถวายเป็นพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย ท่านก็บอกว่าให้หลวงปู่นำเงินไปตั้งเป็นกองทุนปลูกป่า เพราะมันจะเป็นประโยชน์
นี่คือพระมหาธิคุณที่พระองค์ทรงมีต่อป่าไม้ของประเทศ และอยากให้ประชาชนที่อยู่กับป่าใช้ป่า ได้ประโยชน์จากป่าอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้น เราจะยุตติสงครามนี้ได้อย่างไร ลำพังเพียงชาวบ้านก็คงพูดจากันไม่ลำบากอะไร เพราะชาวบ้านมีที่ทำกินเต็มที่ก็แค่หนึ่งไร่สองไร่ทำกินกันได้อย่างสบายแต่ต้องใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง
แต่สำหรับนายทุนไร่สองไร่คงไม่พอ ต้องมีเป็นร้อยไร่ หรือหลายร้อยไร่ โดยเฉพาะที่ดินแปลงที่นำมาปลูกป่าแห่งนี้มีถึง 300 ไร่กว่า ซึ่งเป็นที่ดินที่เจ้าหน้าที่ยึดคืนมาจากนายทุน ทราบว่ามีการซื้อขายกันในราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป และมีการเปลี่ยนมือต่อๆ กันมา ทั้งหมดนี้มันมาจากนายทุนใจร้ายที่ทำให้ตัวเองสบาย แต่ปล่อยให้ชาวบ้านลำบากชาวบ้านตาดำๆ ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร
เพราะฉะนั้น เราจะต้องมาพูดความจริงกันให้ชัดๆ ฉันเป็นคนพูดตรงอยู่แล้ว หลวงปู่พุทธอิสระได้ยี่ห้อว่าเป็นคนพูดตรง ทำจริง สิ่งที่พูดคือสิ่งที่ทำ สิ่งที่ทำคือสิ่งที่คิด เพราะฉะนั้นจึงอยากจะเตือนท่านที่รักทั้งหลาย โดยเฉพาะลูกหลาน และชาวบ้านอย่าปล่อยให้ป่าไม้มันถูกทำลาย เพราะเราสามารถทำกินในผืนป่าได้ เหมือนอย่างเช่นในเวลานี้จะเห็นว่ามีต้นมันสำปะหลังมาปลูก หลวงปู่ ก็ได้บอกกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ว่าเอาอย่างนี้ดีไหม เราไม่ได้พูดถูกอธิบดีฯ ที่เซ็นอนุญาตให้หลวงปู่เข้ามาปลูกป่าที่นี่ เมื่อกี้ไม่มีใครพูดถึงเลย
จึงอยากจะบอกว่าเราไม่ได้เข้ามาโดยพลการ เรามีหนังสือเอกสารสำคัญจากอธิบดีกรมป่าไม้ที่อนุญาตให้เราเข้ามาปลูกในที่แห่งนี้ และก็มีเวลาที่ 10 ปีในการอนุรักษ์รักษาป่า โดยเราจะมีคนเข้ามารักษาป่า วิธีการหลวงปู่บอกไว้ชัดว่า เราจะจ้างคนเข้ามาเฝ้าดูแลเอาใจใส่ และให้เฝ้าอยู่เป็นประจำสักสามสี่ครอบครัว โดยจะจ้างเป็นรายเดือน แต่เมื่อเช้านี้ได้คุยกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่ป่าไม้บอกว่าเอาอย่างนี้ดีไหม เราไม่ต้องไปจ้างเพราะเราเห็นมันสำปะหลังที่ปลูกเอาไว้ในนี้ เราไปหาคนที่มาปลูกมันสำปะหลัง และบอกเขาว่าเราจะอนุญาตให้เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ แต่ต้องดูแลป่าให้ด้วย แต่ถ้าหากต้นไม้ตายจะหักเงินต้นละร้อยบาท เดี๋ยวหลวงปู่จะให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ไปสืบดูว่าใครมาปลูกมันสำปะหลังเอาไว้ในพื้นที่นี้ เราไม่ได้ไปจับเขา แต่เขามีสิทธิที่จะมาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้ แต่ขอให้ดูแลรักษาต้นไม้ที่ปลูกเอาไว้
และหากตรงไหนเสียหายก็ให้ปลูกทดแทน และอย่าให้คนเข้ามาบุกรุกแผ้วถาง หรือเผาทำลายป่าซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี ไม่เช่นนั้นเราก็ต้องไปหาเงินมาจ้างเพราะกว่าต้นไม้จะโตก็คงเป็นสิบปี เหมือนที่หลวงปู่ไปปลูกที่หัวหิน 800 กว่าไร่ จนต้นไม้เจริญเติบโตมีน้ำไหลผ่านตลอดเวลา และปีที่แล้วหลวงปู่ก็ไปปลูกที่ห้วยเขย่ง อำเภอทองผาภูมิ ที่หลวงปู่ทำอย่างนี้ก็เพื่ออยากให้สังคมตระหนักคิดรู้ได้
โดยเฉพาะพระศาสนานั้นเกิดในป่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ในป่า พระพุทธเจ้าประสูติในป่า และพระพุทธเจ้าก็ได้นิพพานในป่า เพราะฉะนั้น ป่าก็เปรียบเสมือนบ้านของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะพระเองต้องมีสำนึก หลวงปู่ได้ยินมาว่าสมภารวัดซองกาเลียออกไมล์บังคับขู่เข็ญชาวบ้านไม่ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการปลูกป่าในครั้งนี้
เดี๋ยวพรุ่งนี้หลวงปู่จะไปหาเพื่อจับเข่าคุยหน่อยอยากรู้ว่าท่านคิดอะไรของท่านอยู่ ถ้าเป็นพระแล้วไม่เข้าใจว่าพระมันเป็นวงจรที่เกิดขึ้นจากป่า และจบลงที่ป่า และไม่เห็นความสำคัญของป่า ถ้าอย่างนี้หลวงปู่ว่าใช้ไม่ได้ อย่างนี้พรุ่งนี้ต้องงไปคุยด้วยหน่อย เมื่อคืนนี้ขณะที่กำลังนอนหลับอยู่ประมาณตี 1 ตี 2 ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์วิ่งเข้าออกมีเสียงหมาเห่าเต็มไปหมด แต่ไม่เป็นไรหลวงปู่ไม่ได้กลัวอะไรเพราะเราถือว่าเรามาทำประโยชน์ต่อแผ่นดิน ตรงนี้ก็เลยอยากจะบอกทุกคนว่านี่คือสงครามแย่งชิงทรัพยากรของแผ่นดิน ซึ่งมีอยู่ทุกที่ไม่ใช่เฉพาะที่จังหวัดกาญจนบุรี แต่ที่นี่ก็ยังโชคดีที่ยังมีผืนป่าเขียวๆ ให้เห็น แต่ถ้าไปภาคเหนืออากาศนี่ร้อนไปหมด ต่อไปก็จะลำบากสังคมไทยก็จะแย่
สำหรับป่าเมืองกาญจน์นั้นเป็นป่าต้นน้ำที่ไหลลงสู่เขื่อน และถ้าหากน้ำแห้งจะเอาน้ำที่ไหนไปเลี้ยงคนภาคกลาง และไฟฟ้าเราจะเอาที่ไหนใช้ จึงอยากให้ทุกคนช่วยกันคิด มาช่วยกันปลูกฝังจิตวิญญาณให้ทุกคนตระหนักรู้ว่า เราจะอยู่กับสิ่งแวดล้อม และธรรมชาติได้อย่างไร โดยเฉพาะนักบวชจะต้องเป็นหัวจักรทำให้ทุกคนรู้จักวิถีธรรมชาติ ให้รู้ว่าคุณของธรรมชาตินั้นมีประโยชน์อย่างไร ไม่ใช่ไปสนับสนุนให้คนไปแผ้วถางทำลายป่า ดังนั้น คนที่เป็นคุณครูเอง จะต้องช่วยกันสอนเด็กๆ ให้รู้จักคุณค่าของผืนป่าว่ามีประโยชน์อย่างไร