พิษณุโลก - ศาลปกครองพิษณุโลกตัดสินพิพากษาคดีแคดเมียมแม่ตาวพรุ่งนี้ (14 ส.ค.) หลังสมาคมต่อต้านโลกร้อน พร้อมตัวแทนชาวบ้านยื่นฟ้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องฐานละเลยการปฏิบัติหน้านี้ ขณะที่ชาวบ้านอีกกว่า 800 คนยื่นฟ้องศาลแพ่งฯ เรียกค่าเสียหายไปแล้วกว่า 3 พันล้าน
นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน แจ้งต่อสื่อมวลชนว่า ในวันพุธที่ 14 สิงหาคม 2556 นี้ เวลา 09.30 น. ศาลปกครองพิษณุโลกได้นัดหมายคู่กรณีมาฟังคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 398/2552 ระหว่างสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ที่ 1 กับพวกรวม 32 คนที่ได้ยื่นฟ้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับปัญหาแคดเมียมในพื้นที่ตำบลแม่ตาว ตำบลแม่กุ และตำบลพระธาตุผาแดง อ.แม่สอด จ.ตาก ทั้งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติที่ 1 คณะกรรมการควบคุมมลพิษที่ 2 คณะกรรมการพัฒนาที่ดินที่ 3 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ 4 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมที่ 5 อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ที่ 6 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร
ซึ่งคดีดังกล่าวได้มีการยื่นฟ้องต่อศาลปกครองพิษณุโลกมาตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2552 หลังจากที่หน่วยงานภาครัฐที่ถูกฟ้องคดีดังกล่าวปล่อยปละละเลย และใช้อำนาจอนุญาตให้มีเหมืองแร่สังกะสีในบริเวณพื้นที่ต้นน้ำของชาวบ้าน จนทำให้เกิดการแพร่กระจายของสารแคดเมียมกระจายไปในพื้นที่นาข้าวของชาวบ้านใน 3 ตำบล คือ ตำบลแม่ตาว ตำบลแม่กุ และตำบลพระธาตุผาแดง ทำให้ผลผลิตนาข้าวของชาวบ้านปนเปื้อนด้วยสารแคดเมียมจนไม่สามารถทำนาได้ตามปกติ
กรณีดังกล่าวชาวบ้านทั้ง 3 ตำบลกว่า 800 คนได้ร่วมกันฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินกว่า 3,000 ล้านบาทจากผู้ประกอบการเหมืองแร่ต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ไว้แล้ว ส่วนในคดีปกครองได้มอบอำนาจให้สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนฟ้องร้องหน่วยงานภาครัฐที่ใช้อำนาจอนุมัติอนุญาตให้มีการประกอบการเหมืองแร่ในพื้นที่อนุรักษ์ดังกล่าวจนก่อให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้างต่อชาวบ้านจำนวนมาก
ซึ่งในการอ่านคำพิพากษาในวันดังกล่าวตัวแทนชาวบ้านจะเหมารถบัสมาฟังคำพิพากษากันเป็นจำนวนมาก
นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน แจ้งต่อสื่อมวลชนว่า ในวันพุธที่ 14 สิงหาคม 2556 นี้ เวลา 09.30 น. ศาลปกครองพิษณุโลกได้นัดหมายคู่กรณีมาฟังคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 398/2552 ระหว่างสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ที่ 1 กับพวกรวม 32 คนที่ได้ยื่นฟ้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับปัญหาแคดเมียมในพื้นที่ตำบลแม่ตาว ตำบลแม่กุ และตำบลพระธาตุผาแดง อ.แม่สอด จ.ตาก ทั้งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติที่ 1 คณะกรรมการควบคุมมลพิษที่ 2 คณะกรรมการพัฒนาที่ดินที่ 3 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ 4 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมที่ 5 อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ที่ 6 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร
ซึ่งคดีดังกล่าวได้มีการยื่นฟ้องต่อศาลปกครองพิษณุโลกมาตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2552 หลังจากที่หน่วยงานภาครัฐที่ถูกฟ้องคดีดังกล่าวปล่อยปละละเลย และใช้อำนาจอนุญาตให้มีเหมืองแร่สังกะสีในบริเวณพื้นที่ต้นน้ำของชาวบ้าน จนทำให้เกิดการแพร่กระจายของสารแคดเมียมกระจายไปในพื้นที่นาข้าวของชาวบ้านใน 3 ตำบล คือ ตำบลแม่ตาว ตำบลแม่กุ และตำบลพระธาตุผาแดง ทำให้ผลผลิตนาข้าวของชาวบ้านปนเปื้อนด้วยสารแคดเมียมจนไม่สามารถทำนาได้ตามปกติ
กรณีดังกล่าวชาวบ้านทั้ง 3 ตำบลกว่า 800 คนได้ร่วมกันฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินกว่า 3,000 ล้านบาทจากผู้ประกอบการเหมืองแร่ต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ไว้แล้ว ส่วนในคดีปกครองได้มอบอำนาจให้สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนฟ้องร้องหน่วยงานภาครัฐที่ใช้อำนาจอนุมัติอนุญาตให้มีการประกอบการเหมืองแร่ในพื้นที่อนุรักษ์ดังกล่าวจนก่อให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้างต่อชาวบ้านจำนวนมาก
ซึ่งในการอ่านคำพิพากษาในวันดังกล่าวตัวแทนชาวบ้านจะเหมารถบัสมาฟังคำพิพากษากันเป็นจำนวนมาก