ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ชาวบ้านพรสวรรค์ อ.จอมทองสุดทนยกขบวนชุมนุมหน้าศาลจังหวัด พร้อมสวม “หน้ากากแพะ” เป็นสัญลักษณ์ตกเป็นเหยื่อก่อนยื่นหนังสือผ่านรองผู้ว่าฯ หลังต้องโทษบุกรุกป่ากว่า 40 ราย โอดผ่านมาแล้ว 17 ปี 10 นายกรัฐมนตรีแต่กลับไร้ความช่วยเหลือต้องสู้คดีกันเอง ล่าสุดศาลตัดสินรายแรกมีความผิดแล้วส่วนที่เหลือต้องรอลุ้นต่อ
ประชาชนจากบ้านพรสวรรค์ หมู่ 14 ตำบลข่วงเปา อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ จำนวนประมาณ 50 คน เดินทางมาชุมนุมที่หน้าศาลจังหวัดเชียงใหม่ในวันนี้ (6 ส.ค.) เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมในคดีที่ราษฎรบ้านพรสวรรค์ หมู่ 14 ตำบลข่วงเปา อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 47 รายถูกเจ้าหน้าที่ป่าไม้จับกุมในข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน ซึ่งจะมีการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีดังกล่าวที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ในวันนี้
โดยกลุ่มประชาชนซึ่งนำโดยนายจำเนียร ดกโบราณ แกนนำบ้านพรสวรรค์ หมู่ 14 ระบุว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมในคดีดังกล่าวมานานกว่า 17 ปี เนื่องจากข้อกล่าวหาที่ว่าชาวบ้านพรสวรรค์ หมู่ 14 บุกรุกป่านั้นไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด โดยชาวบ้านได้เข้ามาบุกเบิกที่ทำกินในพื้นที่ดังกล่าวตั้งแต่ปี 2517 และได้ดำเนินการติดต่อขอใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติจากทางกรมป่าไม้เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย และมีการเสียค่ามัดจำและค่าธรรมเนียมให้เจ้าหน้าที่อย่างถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดเหตุการณ์บุกรุกป่าสงวนอุทยานแห่งชาติจอมทองในวันที่ 17 ธ.ค. 2537 ปรากฏว่าในระหว่างการติดตามจับกุมผู้กระทำผิด เจ้าหน้าที่กลับจับกุมชาวบ้านในหมู่บ้านจำนวน 47 ราย พร้อมกับตั้งข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่าทั้งที่ชาวบ้านไม่ได้เป็นผู้กระทำ
ผู้ที่บุกรุกตัวจริงสามารถหลบหนีไปได้ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชาวบ้านพรสวรรค์ต้องต่อสู้คดีดังกล่าวในศาลมายาวนานถึง 17 ปี โดยไม่เคยได้รับความช่วยเหลือหรือความเป็นธรรมใดๆ จากภาครัฐ และในวันนี้ เมื่อศาลเตรียมที่จะอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีของนายมานิตย์ อินถา ซึ่งเป็นจำเลยรายแรกที่จะมีการตัดสินคดี กลุ่มชาวบ้านจึงตัดสินใจรวมตัวกันเพื่อมารับฟังคำพิพากษาของศาล และเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมในเรื่องดังกล่าว
นายจำเนียรกล่าวว่า ชาวบ้านพรสวรรค์ต่อสู้คดีดังกล่าวมาอย่างยาวนาน ผ่านสมัยของนายกรัฐมนตรีถึง 10 คน แต่กลับไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือการช่วยเหลือใดๆ มีแต่ต้องรับโทษทั้งการชดใช้ค่าเสียหายซึ่งชาวบ้านไม่สามารถชำระได้ และต้องไปทำการปลูกป่าชดเชยแทนซึ่งก็สร้างความลำบากในการเดินทางเป็นอย่างมาก อีกทั้งแม้จะได้ปลูกป่าทดแทนแล้วแต่ก็ยังมีคดีความในศาล ทำให้ชาวบ้านเกิดความหวั่นวิตกว่าศาลจะตัดสินให้มีความผิดและต้องย้ายออกจากพื้นที่ที่อยู่อาศัยกันมายาวนาน
นายจำเนียรกล่าวต่อไปว่า การมาชุมนุมในครั้งนี้นอกจากจะมาเพื่อให้กำลังใจเพื่อนร่วมหมู่บ้านแล้ว ยังต้องการให้กำลังใจศาลให้ตัดสินอย่างถูกต้องและเป็นธรรม เพราะนับตั้งแต่เกิดคดีความขึ้นมีชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก บางรายถูกกดดันจนต้องย้ายออกจากพื้นที่ ขณะที่บางรายก็เสียชีวิตหรือทุพพลภาพ ทั้งนี้ กลุ่มชาวบ้านจะรอฟังผลการตัดสินของศาล รวมทั้งจะเข้ายื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อเรียกร้องให้ภาครัฐเข้ามาช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวด้วย
จากนั้นกลุ่มประชาชนบ้านพรสวรรค์ หมู่ 14 ได้เคลื่อนขบวนไปยังศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องชะลอหรือยุติการดำเนินการใดๆ ในพื้นที่ต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีนายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่เป็นผู้รับหนังสือดังกล่าว
ทั้งนี้ ตั้งแต่เริ่มเคลื่อนขบวนจากศาลจังหวัดเชียงใหม่มายังศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ และในระหว่างการยื่นหนังสือต่อรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มประชาชนจากบ้านพรสวรรค์ได้นำหน้ากากรูปแพะมาสวมใส่เพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงการถูกดำเนินคดีโดยไม่เป็นธรรมอีกด้วย
นางคำใส ปัญญามี ประธานโฉนดชุมชนบ้านพรสวรรค์และคณะกรรมการสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ กล่าวว่า ที่ผ่านมาชาวบ้านได้เจรจาขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ แต่ก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือแต่อย่างใด ในขณะที่กระบวนการพิจารณาคดีนั้น ในปี 2540 ทนายได้แนะนำให้ชาวบ้านยอมรับผิด โดยระบุว่าเมื่อรับแล้วจะไม่มีการดำเนินคดีอีก
แต่เมื่อถึงปี 2543 กลับมีการบังคับคดีให้ชาวบ้านย้ายออกจากพื้นที่ ซึ่งจนถึงปัจจุบันคดีก็อยู่ในระหว่างการพิจารณาตัดสินของศาล อย่างเช่นนายมานิตย์ซึ่งศาลจะพิพากษาตัดสินในวันนี้ หรือคดีของตนที่จะมีการตัดสินในวันที่ 16 ส.ค. ขณะที่อีกหลายคนก็ยังไม่ได้รับการนัดหมายเพื่อฟังคำตัดสิน
นางคำใสกล่าวต่อไปว่า หากตัดสินว่าชาวบ้านมีความผิดและจะให้ย้ายออกจากพื้นที่ก็จะสร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านในหมู่บ้านเป็นอย่างมากเนื่องจากไม่รู้ว่าจะย้ายไปอยู่ที่ไหน โดยในวันนี้ตั้งใจไว้ว่าหากศาลพิจารณาให้นายมานิตย์แพ้คดี ชาวบ้านซึ่งเป็นผู้ต้องหารายอื่นๆ ก็คงจะถูกตัดสินในลักษณะเดียวกัน ดังนั้น หากผลการตัดสินออกมาในลักษณะดังกล่าวชาวบ้านจะเดินทางกลับหมู่บ้านและทำการล้อมรั้วปิดล้อมหมู่บ้านไม่ให้คนภายนอกเข้าออกได้ พร้อมทั้งยืนยันว่าจะไม่ย้ายออกจากหมู่บ้านเด็ดขาด
อนึ่ง ผลการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีของนายมานิตย์ในวันนี้ ปรากฏว่าศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้นายมานิตย์มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 31 วรรค 3 โดยให้นายมานิตย์ย้ายออกจากพื้นที่และห้ามมีสิ่งปลูกสร้างใดๆ ในพื้นที่อีกด้วย