พะเยา - “สภาทนายฯ” รับลูกตามสอบเอกสารสิทธิทับที่กว๊านฯ เล็งยื่นฟ้องศาลปกครอง ด้านอดีต ปธ.สภาวัฒนธรรมติงให้ศึกษาแนวเขตให้ชัด จะยึดแผนที่ 2482 หรือ นสล. ก่อนสู้เอากว๊านคืน “หน้าหมู่”
นายเสถียร เชื้อประเสริฐศักดิ์ รักษาการประธานสภาทนายความจังหวัดพะเยา เปิดเผยว่า หลังได้รับมอบหมายให้รวบรวมเอกสารที่เกี่ยวกับการถือครองเอกสารสิทธิที่ดินทับที่กว๊านพะเยา โดยยึดแนวตามแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกากว๊านพะเยา ปี พ.ศ. 2482 คือ ประมาณ 16,000 ไร่ หากแปลงใดที่ครอบครองรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่กว๊านพะเยาจะยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ขอให้หน่วยงานที่ออกเอกสารสิทธิทำการเพิกถอนเอกสารสิทธิตามขั้นตอนต่อไป แต่อาจจะต้องใช้เวลาเพราะมีเอกสารจำนวนมากที่ต้องรวบรวมอย่างรอบคอบ และต้องให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายด้วย
ด้านนายอัครา พรหมเผ่า ประธานกลุ่มรักษ์บ้านเกิด จังหวัดพะเยา กล่าวว่า เป็นแนวทางที่ตนเห็นดีด้วยหากสามารถแก้ปัญหาเรื่องการบุกรุกกว๊านพะเยาได้ ที่สำคัญจะทำให้การพัฒนากว๊านพะเยาในด้านต่างๆ สามารถดำเนินการได้โดยไม่ติดขัดเรื่องแนวเขต หรือมีปัญหาการบุกรุกอีกต่อไป
แต่ที่เป็นห่วงคือ แนวเขตกว๊านพะเยาไม่มีความชัดเจน หาหลักหมุดไม่ได้ และหากพิจารณาว่าพื้นที่กว๊านพะเยาคือพื้นที่น้ำท่วมถึงก็ไม่สามารถบอกได้ว่าถึงแนวใดเพราะระดับน้ำขึ้นลงไม่แน่นอน ประการเดียวที่จะสามารถนำพาปัญหาสู่ทางออกได้คือ ทุกฝ่ายหารือร่วมกันว่าจะยึดพื้นที่กว๊านพะเยาตามปี พ.ศ. 2482 หรือตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง(นสล.) ปี 2540 ต้องตกลงกันให้ได้ แล้วแนวทางการฟ้องเพิกถอนเอกสารสิทธิทับที่กว๊านก็ต้องดำเนินการเป็นขั้นตอนถัดไป
ขณะที่นายวิมล ปิงเมืองเหล็ก อดีตประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดพะเยา กล่าวว่า กรณีพบเอกชนถมที่รุกเข้าที่สาธารณะลำเหมืองร่องห้า หรืออีกนัยหนึ่งชาวบ้านเข้าใจว่าเป็นพื้นที่ของกว๊านพะเยา ตรงนี้จะต้องมีการศึกษาข้อมูลของกว๊านให้ชัดเจน โดยเฉพาะแนวเขต และพื้นที่ที่แท้จริงของกว๊านฯ ค้นหาปัญหาที่แท้จริงของการพัฒนากว๊านพะเยาว่าติดขัดเพราะอะไร การทำให้เกิดความร่วมมือในการพัฒนากว๊านพะเยาไม่ได้ขึ้นอยู่กับความต้องการของคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มบุคคลใดเท่านั้น หากแต่จะต้องอยู่บนพื้นฐานของกระบวนการมีส่วนร่วม
ดังนั้น ทั้งการทวงคืนผืนดินของกว๊านพะเยาที่เป็นสมบัติหน้าหมู่ก็ต้องมีส่วนร่วมของภาคประชาชนด้วย แต่ต้องทำแนวเขตให้ชัดเจนก่อนแล้วจึงสู้เอาที่กว๊านพะเยาคืนมา
นายเสถียร เชื้อประเสริฐศักดิ์ รักษาการประธานสภาทนายความจังหวัดพะเยา เปิดเผยว่า หลังได้รับมอบหมายให้รวบรวมเอกสารที่เกี่ยวกับการถือครองเอกสารสิทธิที่ดินทับที่กว๊านพะเยา โดยยึดแนวตามแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกากว๊านพะเยา ปี พ.ศ. 2482 คือ ประมาณ 16,000 ไร่ หากแปลงใดที่ครอบครองรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่กว๊านพะเยาจะยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ขอให้หน่วยงานที่ออกเอกสารสิทธิทำการเพิกถอนเอกสารสิทธิตามขั้นตอนต่อไป แต่อาจจะต้องใช้เวลาเพราะมีเอกสารจำนวนมากที่ต้องรวบรวมอย่างรอบคอบ และต้องให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายด้วย
ด้านนายอัครา พรหมเผ่า ประธานกลุ่มรักษ์บ้านเกิด จังหวัดพะเยา กล่าวว่า เป็นแนวทางที่ตนเห็นดีด้วยหากสามารถแก้ปัญหาเรื่องการบุกรุกกว๊านพะเยาได้ ที่สำคัญจะทำให้การพัฒนากว๊านพะเยาในด้านต่างๆ สามารถดำเนินการได้โดยไม่ติดขัดเรื่องแนวเขต หรือมีปัญหาการบุกรุกอีกต่อไป
แต่ที่เป็นห่วงคือ แนวเขตกว๊านพะเยาไม่มีความชัดเจน หาหลักหมุดไม่ได้ และหากพิจารณาว่าพื้นที่กว๊านพะเยาคือพื้นที่น้ำท่วมถึงก็ไม่สามารถบอกได้ว่าถึงแนวใดเพราะระดับน้ำขึ้นลงไม่แน่นอน ประการเดียวที่จะสามารถนำพาปัญหาสู่ทางออกได้คือ ทุกฝ่ายหารือร่วมกันว่าจะยึดพื้นที่กว๊านพะเยาตามปี พ.ศ. 2482 หรือตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง(นสล.) ปี 2540 ต้องตกลงกันให้ได้ แล้วแนวทางการฟ้องเพิกถอนเอกสารสิทธิทับที่กว๊านก็ต้องดำเนินการเป็นขั้นตอนถัดไป
ขณะที่นายวิมล ปิงเมืองเหล็ก อดีตประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดพะเยา กล่าวว่า กรณีพบเอกชนถมที่รุกเข้าที่สาธารณะลำเหมืองร่องห้า หรืออีกนัยหนึ่งชาวบ้านเข้าใจว่าเป็นพื้นที่ของกว๊านพะเยา ตรงนี้จะต้องมีการศึกษาข้อมูลของกว๊านให้ชัดเจน โดยเฉพาะแนวเขต และพื้นที่ที่แท้จริงของกว๊านฯ ค้นหาปัญหาที่แท้จริงของการพัฒนากว๊านพะเยาว่าติดขัดเพราะอะไร การทำให้เกิดความร่วมมือในการพัฒนากว๊านพะเยาไม่ได้ขึ้นอยู่กับความต้องการของคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มบุคคลใดเท่านั้น หากแต่จะต้องอยู่บนพื้นฐานของกระบวนการมีส่วนร่วม
ดังนั้น ทั้งการทวงคืนผืนดินของกว๊านพะเยาที่เป็นสมบัติหน้าหมู่ก็ต้องมีส่วนร่วมของภาคประชาชนด้วย แต่ต้องทำแนวเขตให้ชัดเจนก่อนแล้วจึงสู้เอาที่กว๊านพะเยาคืนมา
