xs
xsm
sm
md
lg

ดีเอสไอพบเบาะแส “สมีคำ” เป็นนักขายมือทอง ทั้งรถ ทั้งทอง เพื่อหมุนเงินบริจาคไปซ่อน(ชมคลิป)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

 นางเกษณีย์ โอบอ้อมกุล อายุ 50 ปี เจ้าของร้านทองทรงเจริญ
อุบลราชธานี- ดีเอสไอลุยหาแหล่งซ่อนสมบัติสมีคำ เบื้องต้นได้เบาะแสเป็นจอมลวงโลก นักหมุนเงิน และพวกขี้โกง เช่าบ้านให้ญาติอยู่แต่ไม่ยอมจ่ายเงิน พร้อมเป็นนักขายรถมือทอง ไม่เว้นแม้แต่รถแบ็กโฮใช้ตักดิน

เมื่อเวลา 11.30 น. วันนี้ (18 ก.ค.) พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค (ดีเอสไอ) ให้นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ หัวหน้าศูนย์ข้อมูลและวิเคราะห์คดีความมั่นคง เข้าตรวจสอบร้านทองทรงเจริญ ตั้งอยู่เลขที่ 280 ถ.พรหมราช ต.ในเมือง ซึ่งเป็นแหล่งที่สมีคำนำทองคำที่ได้รับบริจาคจากประชาชนมาขาย และขอซื้อบ้านจากหมู่บ้านเพชรไพริน ตั้งอยู่ในตำบลขามใหญ่ ซึ่งเจ้าของร้านทองดังกล่าวเป็นเจ้าของโครงการจำนวน 3 หลัง

นางเกษณีย์ โอบอ้อมกุล อายุ 50 ปี เจ้าของร้านทอง ระบุว่า สมีคำติดต่อขอซื้อบ้านในโครงการที่เหลืออยู่เมื่อปี 2554 โดยบอกว่าจะให้พ่อแม่ น้องชาย และพระเลขาฯ มาพักอยู่คนละหลัง ราคาหลังละ 2.8 ล้านบาท ต่อมาสมีคำมาบอกยังไม่ต้องการซื้อ แต่จะขอเช่าอยู่ก่อน และไม่ได้ทำสัญญาเช่าไว้เพราะเชื่อในความเป็นพระ ซึ่งสมีคำก็ให้ญาติพี่น้องเข้ามาอยู่

จนเวลาผ่านไป 6-7 เดือนก็ไม่จ่ายค่าเช่าและพาพี่น้องออกจากบ้านไป แต่ยังคงทิ้งข้าวของไว้ในบ้านทั้ง 3 หลังจำนวนมาก

จนถึงกลางปี 2555 ได้ไปหาสมีคำที่บ้านพ่อแม่ที่บ้านทรายมูล แจ้งให้มาขนย้ายข้าวของออกไปเพราะจะขายบ้านทั้ง 3 หลังให้คนอื่น พร้อมขอเงินค่าเช่าบ้าน ซึ่งสมีคำจ่ายเงินมาให้เพียง 2 หลัง หลังละ 1 แสนบาท ส่วนอีกหลังที่ให้ผู้หญิงที่สมีคำเรียกว่าคุณนายพักอาศัยไม่ยอมจ่าย บอกให้ไปตามเก็บเอาจากผู้หญิงคนนั้นแทน ต่อจากนั้นก็ไม่ได้พบกับสมีคำอีกเลย

ขณะที่นายวิบูลย์ สามีที่เป็นเจ้าของร้านทอง เปิดเผยว่า สมีคำเคยเอาทองมาขายให้ 4-5 ครั้ง ครั้งละประมาณ 2-3 แสนบาท โดยเป็นทองคำแท่งหนักแค่ 5 บาท ที่เหลือเป็นทองรูปพรรณ ไม่ใช่นำมาขายหนักเป็นร้อยกิโลกรัมเหมือนที่เป็นข่าว จึงรับซื้อและขายออกไปตามกลไกตลาด และทุกครั้งสมีคำจะเป็นคนนำทองมาขายด้วยตนเอง ระยะห่างประมาณ 2-3 เดือนครั้ง

หลังจากดีเอสไอได้ข้อมูลจากเจ้าของร้านทองทรงเจริญ ได้เข้าสอบถามนายธนิต ศรีธัญรัตน์ เจ้าของเต็นท์รถภรณ์เจริญมอเตอร์ ตั้งอยู่ริมถนนเลี่ยงเมือง ต.ในเมือง โดยนายธนิตระบุว่า เมื่อประมาณ 4-5 ปีก่อนสมีคำนำรถตู้โตโยต้าแบบเก่าจำรุ่นไม่ได้มาขายให้ในราคา 4 แสนบาท จึงรับซื้อไว้ ส่วนขากลับมีรถตำรวจทางหลวงมารับสมีคำกลับไป

อีกไม่กี่เดือนต่อมาสมีคำได้มาหาที่เต็นท์รถให้ช่วยรับซื้อรถตักดินแบ็กโฮไว้ในราคา 135,000 บาท ซึ่งขณะนั้นไม่รู้จักว่าสมีคำเป็นใครเพราะยังไม่เป็นที่รู้จัก แต่จำได้ดีเพราะเป็นพระรูปแรกที่นำรถมาขายให้ร้านด้วยตัวเอง อีเอสไอจึงขอเอกสารการซื้อขายรถในครั้งนั้น ซึ่งนายธนิตสั่งให้ผู้เก็บรักษาเอกสารตรวจหาให้ และจะนำมามอบแก่ดีเอสไอใช้ประกอบหลักฐานการนำเงินบริจาคมาใช้ผิดวัตถุประสงค์ต่อไปในภายหลัง

ต่อมาเจ้าหน้าที่ดีเอสไอชุดเดียวกันได้ไปที่มงคลคาร์เซ็นเตอร์ ตั้งอยู่ริมถนนชยางกูร ต.ขามใหญ่ อ.เมืองอุบลราชธานี เพื่อสอบถามการซื้อขายรถของสมีคำ โดยนางปณิตา เลิศผดุงเดช ผู้จัดการบริษัทขายรถแห่งนี้ ระบุว่า สมีคำเคยมาสอบถามต้องการซื้อรถเบนซ์มือสองเมื่อหลายปีก่อน แต่ไม่เคยมีการซื้อขายกับสมีคำเพราะหลังมาสอบถามไม่เคยกลับมาที่บริษัทอีกเลย

ส่วนจะเป็นลูกศิษย์มาซื้อขายแทนในภายหลังหรือไม่นั้นไม่แน่ใจ แต่ถ้าเจ้าหน้าที่มีรายละเอียดของตัวรถสามารถตรวจสอบย้อนหลังให้ได้

ขณะเดียวกัน ดีเอสไอยังเข้าตรวจสอบที่บริษัทโตโยต้าดีเยี่ยม ที่ตั้งอยู่ใกล้กัน ซึ่งแหล่งข่าวของดีเอสไอระบุว่าสมีคำเคยมาสั่งซื้อรถด้วย นายสมชาย เหล่าสายเชื้อ ประธานบริษัทกล่าวว่า หลังตรวจสอบดูในสารบบรายชื่อของลูกค้าที่มาซื้อขายรถไม่พบมีชื่อสมีคำซื้อขายรถกับทางบริษัท แต่ถ้าสมีคำใช้ชื่อคนอื่นมาซื้อและดีเอสไอมีรายชื่อมาให้สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ แต่ถ้ามาซื้อในชื่อของสมีคำเองไม่มีแน่นอน

ด้านนายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ หัวหน้าศูนย์ข้อมูลและวิเคราะห์คดีความมั่นคง ระบุถึงการเข้าตรวจสอบที่ร้านทองและเต็นท์รถว่า ดีเอสไอต้องการตรวจสอบการโยกย้ายทรัพย์สินของสมีคำและพวก เบื้องต้นยังไม่พบมีการซื้ออสังหาริมทรัพย์ หรือรถหรูในชื่อของสมีคำ มีเพียงรถกระบะเก่าอายุกว่า 20 ปีเพียง 3 คันเท่านั้น ส่วนที่มีการซื้อขายรถเมื่อกว่า 4-5 ปีก่อน เจ้าของเต็นท์ยินดีค้นหาหลักฐานมาให้

สำหรับผู้ที่ครอบครองรถที่ได้รับจากสมีคำ และต้องการแสดงความบริสุทธิ์ในการครอบครองรถที่อาจได้มาอย่างไม่ถูกต้อง สามารถแจ้งให้ดีเอสไอเข้าตรวจสอบได้ที่หมายเลข 08-0123-1230

ขั้นตอนต่อไปดีเอสไอจะตรวจสอบการใช้จ่ายเงินทั้งในรูปมูลนิธิหรือบริษัทที่เกี่ยวข้องกับสมีคำทั้งหมด เพื่อใช้ดำเนินคดีต่อสมีคำฐานฉ้อโกงประชาชน เพราะนำเงินที่ได้รับบริจาคมาใช้ผิดวัตถุประสงค์

คลิกเพื่อชมคลิป



นายธนิต ศรีธัญรัตน์ เจ้าของเต้นท์รถภรณ์เจริญมอเตอร์


กำลังโหลดความคิดเห็น