เชียงราย - ผู้ว่าฯ เมืองพ่อขุนฯ พร้อมผู้การตำรวจระดมผู้กำกับการ 24 สภ.ทั่วจังหวัด ร่วมหารือเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส.-ปปง.ด่วน หลัง “รองฯ เหลิม” สั่งจัดการโพยก๊วนชายแดน เชื่อเกี่ยวพันค้ายาเสพติด เล็งใช้กฎหมายยึดทรัพย์จัดการ
วันนี้ (6 มิ.ย.) นายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย, พล.ต.ต.วันชัย สุวรรณศิริเขต ผบก.ภ.เชียงราย, พ.ต.อ.ชินวิช วิชัยธนพัฒน์ รอง ผบก.สส.ภ.ภาค 5 พร้อมด้วยหัวหน้าสถานีตำรวจภูธรทั้ง 24 แห่งใน จ.เชียงราย และเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ฯลฯ ได้เข้าร่วมประชุมกันที่ห้องประชุมดุรงควิบูลย์ ภ.เชียงราย อย่างเร่งด่วน หลัง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งดูแลด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติดมีคำสั่งด่วนให้ปราบปรามการกระทำผิดด้านการถ่ายโอนเงินตามแนวชายแดนไทย-พม่า หรือ “โพยก๊วน” โดยเฉพาะ อ.แม่สาย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด
ที่ประชุมได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.ณัฎฐวุฒิ ยุววรรณ ผกก.สภ.แม่สาย ได้อธิบายถึงเรื่องโพยก๊วนที่เกิดขึ้นในตลาดปกติว่าเกิดจากการทำธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง ใช้การถ่ายโอนเม็ดเงินที่ได้จากธุรกิจผ่านระบบการค้าอื่นที่ไม่ได้อยู่ในระบบปกติ หรือใช้ธุรกิจอื่นในการถ่ายโอนเงินแทนธุรกิจจริง โดยมี 3 ส่วน คือ ผู้ให้ ผู้รับ และมีคนกลาง เป็นตัวแทนบัญชีหรือพ่อค้าคนกลาง ที่อาจจะไม่เกี่ยวข้อง หรือเกี่ยวข้องกับผู้ให้หรือผู้รับก็ได้
เช่น เมื่อต้องการโอนเงินจากการค้ายาเสพติดในประเทศไทยจำนวน 2 ล้านบาทไปยังแหล่งผู้ขายในประเทศเพื่อนบ้าน ก็จะให้ผู้ถือเงินเขียนเป็นใบสั่งซื้อสินค้ามูลค่า 2 ล้านบาทเพื่อให้นำไปส่งที่ประเทศเพื่อนบ้านในฐานะสินค้าส่งออกที่ไม่ต้องเสียภาษีอากร จากนั้นก็จะมีการขนสินค้ามูลค่า 2 ล้านบาทไปขายในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน แล้วนำเงินไปจ่ายให้ผู้รับเงินตัวจริง แต่ตามการข่าวระบุว่าจะไม่จ่ายเต็มเพราะจะรับเป็นค่าคนกลางไม่ต่ำกว่า 20% ขึ้นไป
นอกจากนี้ยังมีการใช้กลุ่มคนและสินค้าอื่นๆ เข้ามาทำเป็นโพยก๊วนในลักษณะนี้ รวมทั้งยังมีคนรับจ้างเป็นคนเปิดบัญชีในฝั่งไทยให้คนทั้ง 3 ส่วน โดยจะมีทั้งเงินเข้าออกบัญชี และมีบัตรเอทีเอ็มคอยกด บางกลุ่มเปิดบัญชีกลุ่มละหลายๆ คน โอน และเบิกเงินคนละ 20,000-30,000 บาท พร้อมกันก็จะมีมูลค่ามหาศาล
การดำเนินการในลักษณะนี้หากไม่พบว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดอื่น ก็ยังไม่มีกฎหมายเข้าไปตรวจสอบหรือจับกุมดำเนินคดี
ด้านนายพงษ์ศักดิ์ได้ให้ความเห็นว่า การปราบปรามเรื่องการถ่ายโอนเงินตามแนวชายแดนลักษณะนี้ถือว่ายาก เพราะไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับการปราบปรามโพยก๊วน คนที่ทำก็เป็นการถ่ายโอนเงินกันเหมือนธุรกิจปกติทั่วไป เมื่อไม่มีมูลเรื่องความผิดอื่น เช่น ยาเสพติด ฯลฯ ก็เข้าไปตรวจสอบเขาไม่ได้
อย่างไรก็ตาม นายกมลสิษฐ์ วงค์บุตรน้อย นักสืบสวนสอบสวนชำนาญการพิเศษ ปปง.แจ้งต่อที่ประชุมว่า ที่ผ่านมาเคยตรวจพบการถ่ายโอนเงินจากสถานที่ไกลๆ อย่างน่าสงสัย เช่น ภาคใต้ หรือมาเลเซีย ไปยังชายแดนแม่สาย กลุ่มที่เกี่ยวข้องก็เป็นร้านที่เปิดให้มีการแลกเปลี่ยนเงินตราตามชายแดน บางครั้งก็ทำกันบ่อยมาก และบางรายเมื่อได้เงินสดที่ชายแดนก็จะใส่ถุง หรือกระเป๋าหิ้วข้ามไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้านได้ หากถูกตรวจพบก็ลงโทษได้แค่โทษปรับ 20,000 บาท ฐานไม่แจ้งการนำเงินออกนอกประเทศ และยังได้เงินที่ถูกดำเนินคดีคืนอีกด้วย
ขณะที่นายสุชีพ คชรินทร์ ผอ.ส่วนตรวจสอบทรัพย์สินฯ ป.ป.ส.ภาค 5 กล่าวว่า การปราบปรามโพยก๊วนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดสามารถใช้ พ.ร.บ.ยาเสพติดปี 2534 ที่เรียกกันว่า พ.ร.บ.ยึดทรัพย์เข้าไปดำเนินการได้ โดยพิจารณาได้จากหลายเรื่อง เช่น ธุรกิจที่ทำ กลุ่มที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ฯลฯ ถ้าเข้าข่ายก็สามารถเข้าไปตรวจสอบทรัพย์สินดังกล่าวเพื่อขยายผลได้
ด้าน พ.ต.อ.ชินวิชกล่าวว่า ควรมีการตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้ และจัดชุดสืบสวนขึ้นมาเพื่อลงพื้นที่ไปสำรวจหาข่าว พบปะกับกลุ่มคนที่ทำธุรกิจด้านการถ่ายโอนเงินชายแดน หรือแลกเปลี่ยนเงินตรา โดยไม่ใช่เป็นการเข้าไปดำเนินคดี แต่เป็นลักษณะพบปะเพื่อหาข่าวและเพื่อให้ได้ฐานข้อมูลมา หากมีการกระทำผิดในอนาคตก็สามารถดำเนินการได้ ถ้าไม่กระทำผิดแต่มีลักษณะที่จะไปสนับสนุนกลุ่มผู้ค้ายาเสพติด ทางเจ้าหน้าที่ก็จะได้ถือโอกาสตักเตือนให้นักธุรกิจนั้นๆ ระมัดระวังตัวมากขึ้น
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ท้ายที่สุดที่ประชุมได้เห็นชอบให้ดำเนินการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องนี้ พร้อมกับจัดชุดสืบสวนลงพื้นที่หาข่าวต่อไป
ทั้งนี้ กรณีโพยก๊วนถือเป็นการถ่ายโอนเงินที่ไม่ใช่การโอนเงินปกติที่ใช้กันตามแนวชายแดนมานานแล้ว โดยเฉพาะการค้าชายแดนไทย-จีน ผ่านแม่น้ำโขง ผ่านพม่าและ สปป.ลาว ซึ่งมักจะมีการใช้โพยก๊วนเพราะยังไม่มีระบบธนาคารรองรับ หรือแม้แต่ตลาด อ.แม่สาย กับ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า ซึ่งเป็นจุดค้าชายแดนที่สำคัญก็ไม่มีระบบถ่ายโอนเงินผ่านแบงก์ ทำให้มักมีการใช้โพยก๊วนถ่ายโอนเงินแทน
