กาญจนบุรี - ผู้นำท้องถิ่นในทองผาภูมิ กาญจน์ เสียงแตก ทั้ง “เห็นด้วย-ไม่เห็นด้วย” ที่จะอนุญาตให้นายทุนเข้าไปเปิดกิจการเหมืองแร่ในพื้นที่ ทำวงสัมมนาการศึกษาประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์เบื้องต้นเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรธรณี (แร่ตะกั่ว-สังกะสี) ครั้งที่ 2 บรรยากาศตึงเครียด
เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ (28 มี.ค.) ที่ห้องประชุมชั้น 3 สำนักงานเทศบาลตำบลทองผาภูมิ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี นายสงบ พิณนอก ปลัดอาวุโส อ.ทองผาภูมิ เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาการศึกษาประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์เบื้องต้น เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรธรณี (แร่ตะกั่ว-สังกะสี) ครั้งที่ 2 โดยมี ดร.ฐิติศักดิ์ บุญปราโมทย์ นักวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์แร่และสิ่งแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายจิรชัย เชาวลิต ที่ปรึกษาการจัดการสิ่งแวดล้อมเหมืองแร่และการมีส่วนร่วมของประชาชน ร่วมดำเนินรายการ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่ อ.ทองผาภูมิ เข้าร่วมประชุมกว่า 50 คน
ทั้งนี้ จากข้อมูลเบื้องต้นพบว่า พื้นที่ที่ทำการศึกษาอยู่นอกเขตหวงห้ามของราชการ และบางพื้นที่เคยผ่านการทำเหมืองมาแล้วในอดีตโดยทำการศึกษาใน 3 พื้นที่ คือ สองท่อ บ่อใหญ่ และเกริงกระเวีย แต่ไม่ได้ระบุขอบเขตของเนื้อที่ที่ชัดเจน
บรรยากาศการสัมมนาเป็นไปอย่างตึงเครียด โดยมีการแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง เนื่องจาก นายบรรจง รสจันทร์ นายก อบต.ชะแล และสมาชิก อบต.ชะแล ต่างแสดงความคิดว่าเห็นด้วยหากมีการอนุญาตให้นายทุนเข้ามาทำกิจการเหมืองแร่ในพื้นที่ โดยให้เหตุผลว่า จะสามารถสร้างรายได้ให้แก่ อบต.ชะแล ซึ่งปัจจุบัน มีรายได้จากการจัดเก็บน้อยมาก ไม่เพียงพอในการนำมาพัฒนาท้องถิ่น และจะทำให้เกิดการสร้างงานสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่
ขณะที่ผู้นำท้องถิ่นอีกส่วนหนึ่งต่างตอบโต้ เนื่องจากไม่เห็นด้วยที่จะมีการอนุญาตให้นายทุนเข้าไปเปิดกิจการเหมืองแร่ในพื้นที่ดังกล่าว เนื่องจากหวั่นเกรงว่าในอนาคตจะสร้างปัญหาให้แก่บุตรหลาน เนื่องจากเหมืองแร่ตะกั่วเคยก่อปัญหาด้านมลพิษในลำน้ำสาธารณะ จนมีการฟ้องร้อง และต่อสู้กันมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะหมู่บ้านคลิตี้ ถึงแม้ศาลปกครองสูงสุดจะตัดสินให้เหมืองแร่ที่เป็นผู้ก่อมลพิษต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ชาวกะเหรี่ยงบ้านคลิตี้ล่างก็ตาม แต่จนถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่มีการจ่ายเงินให้แก่ชาวบ้านแม้แต่บาทเดียว
โดยนายประเทศ บุญยงค์ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลทองผาภูมิ ให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า หากอนุญาตให้นายทุนเปิดทำเหมืองแร่ ก็เท่ากับว่ามีเพียงรัฐกับเอกชนผู้ได้รับสัมปทานเท่านั้นที่จะได้รับประโยชน์ ซึ่งคนในชุมชนส่วนน้อยอาจจะได้ประโยชน์บ้างคือได้เข้าไปทำงานในเหมือง แต่ไม่คุ้มค่ากับผลเสีย หรือผลกระทบในระยะยาวที่จะตามมา
นอกจากนี้ การสัมมนาจะจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ช่วงประมาณเดือนพฤษภาคมนี้
