ประจวบคีรีขันธ์ - “กรณ์อุมา พงษ์น้อย” ภรรยา “เจริญ วัดอักษร” ทำใจหลังทราบผลศาลอุทธรณ์พิพากษากลับยกฟ้องพี่น้องตระกูล “หินแก้ว” คดีจ้างฆ่า “เจริญ วัดอักษร” แกนนำค้านสร้างโรงไฟฟ้าบ่อนอก-หินกรูด เมื่อปี 47 เหตุหลักฐานอ่อน ถึงกับตัดพ้อ “หากเราอยากได้ความเป็นธรรมคงต้องพึ่งตนเอง”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเมื่อเช้าวันนี้ (15 มี.ค.) ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีจ้างวานฆ่าผู้อื่นในคดีหมายเลขดำ 2945/2547 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ฟ้องนายเสน่ห์ เหล็กล้วน อายุ 48 ปี นายประจวบ หินแก้ว อายุ 43 ปี นายธนู หินแก้ว อาชีพ ทนายความ อายุ 51 ปี นายมาโนช หินแก้ว ส.จ.ประจวบคีรีขันธ์ อายุ 47 ปี และนายเจือ หินแก้ว อดีตกำนันตำบลบ่อบอก อายุ 76 ปี ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันจ้างวานฆ่าผู้อื่น ซึ่งอัยการโจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันต้นปี 2547-วันที่ 21 มิ.ย.47 จำเลยที่ 3-5 ร่วมกันจ้างวานให้จำเลยที่ 1-2 ฆ่า นายเจริญ วัดอักษร แกนกลุ่มคัดค้านการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก และประธานกลุ่มอนุรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอก จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยใช้อาวุธปืนยิงนายเจริญ วัดอักษร จนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายที่ อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์
โดยคดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อ 30 ธ.ค.51 ให้ประหารชีวิตนายธนู หินแก้ว จำเลยที่ 3 ฐานจ้างวาน ส่วนจำเลยที่ 4-5 ให้ยกฟ้องพยานหลักฐานนำสืบไม่ชัดเจน จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ขณะที่ระหว่างอุทธรณ์คดี จำเลยที่ 3 ได้รับการประกันตัว ส่วนนายเสน่ห์ จำเลยที่ 1 และนายประจวบ จำเลยที่ 2 กลุ่มมือปืนได้เสียชีวิตระหว่างถูกคุมขังที่เรือนจำ ต่อมา นายธนู จำเลยที่ 3 ยื่นอุทธรณ์ ขณะที่อัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 4-5 ด้วย ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่เพียงพอให้เอาผิดจำเลยได้ อุทธรณ์จำเลยที่ 3 ฟังขึ้น จึงพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ส่วนจำเลยที่ 4-5 อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนยกฟ้อง
ต่อมา วันเดียวกันนี้ (15 มี.ค.) หลังศาลได้อ่านคำพิพากษาแล้วผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบกับ นางกรณ์อุมา พงษ์น้อย ภรรยานายเจริญ วัดอักษร ที่ครัวชมวาฬ บ้านบ่อนอก หมู่ที่ 6 อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ หลังจากภรรยานายเจริญ ได้ทราบข่าวว่าศาลอาญาถนนรัชดาภิเษก อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์กลับยกฟ้อง คดีจ้างวานฆ่านายเจริญ วัดอักษร แกนนำคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าฟ้าบ่อนอก และประธานกลุ่มอนุรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอก จ.ประจวบคีรีขันธ์
นางกรณ์อุมา กล่าวว่า ก็ไม่ได้ผิดความคาดการณ์ของเราตั้งแต่ต้น ซึ่งมือปืน 2 คนตายตั้งแต่ก่อนมีโอกาสขึ้นในชั้นศาล ดูเสมือนเป็นการตัดตอนทางคดีของผู้เกี่ยวข้องที่เหลือ แต่ว่าวันนี้ในข้อเท็จจริงของคดี มือปืนทั้ง 2 คนทั้งนายประจวบ หินแก้ว ลูกพี่ลูกน้องของจำเลยที่ 3 กับ ส.อบจ.มาโนช จำเลยที่ 4 กับนายเสน่ห์ เหล็กล้วน มือปืนที่ถูกจับได้ที่บ้านของนายธนู หินแก้ว ทั้ง 2 คน
ซึ่งในชั้นพนักงานสอบสวนมีการรับสารภาพไว้ว่า ได้ร่วมกันวางแผนกับจำเลยในคดีดังกล่าว โดยมีการพานายประจวบ หินแก้ว มาจากบ้านของนายธนู หินแก้ว มาเจอกับนายเสน่ห์ เหล็กล้วน ที่ปั๊ม ปตท.สี่แยกบ่อนอกของกำนันเจือ หินแห้ว ในสมัยนั้น ในการรับสารภาพของชั้นพนักงานสอบสวนกระทำต่อหน้านายอุมพร คชหิรัญ (นาท ภูวนัย) รอง ผวจ.ประจวบคีรีขันธ์ ในสมัยนั้น ถามว่าหลักฐานเท่านั้นยังไม่เพียงพอที่จะอาผิดกันอีกหรือจะต้องให้ผู้กระทำความผิดไปยืนสารภาพต่อหน้าศาลว่า เค้าเป็นผู้บงการจึงจะสามารถเอาผิดได้
นางกรณ์อุมา กล่าวต่อว่า ในส่วนของพวกเรานับตั้งแต่นายเจริญ วัดอักษร โดนยิงเสียชีวิตได้ติดตามคดีตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวนจนถึงศาลชั้นต้น จนมีคำพิพากษาออกมา พวกเรามีบทวิเคราะห์ และสรุปกันว่า ไม่สามารถหวังขบวนการยุติธรรมได้ ดังนั้น โจทก์ร่วมของพวกเราจึงไม่ไปร่วมลงชื่อเป็นโจทก์ร่วม คงต้องเป็นหน้าที่ของฝ่ายกระบวนการยุติธรรมที่อัยการต้องทำหน้าที่พิสูจน์ตัวเองในการที่จะดำเนินคดีให้แก่เราต่อไป แต่ว่าวันนี้ผลจากศาลอุทธรณ์เรามีบทสรุปแล้วว่า ศาลฎีกาเราคงคาดหวังไม่ได้เช่นกัน
“ตั้งแต่นายเจริญ วัดอักษร ถูกยิงเสียชีวิต เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2547 นับเป็นเวลา 9 ปีจวบจนถึงวันนี้ ตนเอง และชาวบ้านยังคงจัดงานทำบุญอยู่ทุกปีเพราะศพของเจริญ ยังตั้งอยู่ที่วัดสี่แยกบ่อนอก ส่วนจะทำการฌาปนกิจวันไหนยังไม่มีกำหนด และต้องบอกว่าวันนี้หากเราอยากได้ความเป็นธรรม ประชาชนอย่างพวกเราก็ต้องพึ่งตนเองเป็นหลัก” กรณ์อุมากล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเมื่อเช้าวันนี้ (15 มี.ค.) ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีจ้างวานฆ่าผู้อื่นในคดีหมายเลขดำ 2945/2547 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ฟ้องนายเสน่ห์ เหล็กล้วน อายุ 48 ปี นายประจวบ หินแก้ว อายุ 43 ปี นายธนู หินแก้ว อาชีพ ทนายความ อายุ 51 ปี นายมาโนช หินแก้ว ส.จ.ประจวบคีรีขันธ์ อายุ 47 ปี และนายเจือ หินแก้ว อดีตกำนันตำบลบ่อบอก อายุ 76 ปี ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันจ้างวานฆ่าผู้อื่น ซึ่งอัยการโจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันต้นปี 2547-วันที่ 21 มิ.ย.47 จำเลยที่ 3-5 ร่วมกันจ้างวานให้จำเลยที่ 1-2 ฆ่า นายเจริญ วัดอักษร แกนกลุ่มคัดค้านการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก และประธานกลุ่มอนุรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอก จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยใช้อาวุธปืนยิงนายเจริญ วัดอักษร จนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายที่ อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์
โดยคดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อ 30 ธ.ค.51 ให้ประหารชีวิตนายธนู หินแก้ว จำเลยที่ 3 ฐานจ้างวาน ส่วนจำเลยที่ 4-5 ให้ยกฟ้องพยานหลักฐานนำสืบไม่ชัดเจน จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ขณะที่ระหว่างอุทธรณ์คดี จำเลยที่ 3 ได้รับการประกันตัว ส่วนนายเสน่ห์ จำเลยที่ 1 และนายประจวบ จำเลยที่ 2 กลุ่มมือปืนได้เสียชีวิตระหว่างถูกคุมขังที่เรือนจำ ต่อมา นายธนู จำเลยที่ 3 ยื่นอุทธรณ์ ขณะที่อัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 4-5 ด้วย ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่เพียงพอให้เอาผิดจำเลยได้ อุทธรณ์จำเลยที่ 3 ฟังขึ้น จึงพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ส่วนจำเลยที่ 4-5 อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนยกฟ้อง
ต่อมา วันเดียวกันนี้ (15 มี.ค.) หลังศาลได้อ่านคำพิพากษาแล้วผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบกับ นางกรณ์อุมา พงษ์น้อย ภรรยานายเจริญ วัดอักษร ที่ครัวชมวาฬ บ้านบ่อนอก หมู่ที่ 6 อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ หลังจากภรรยานายเจริญ ได้ทราบข่าวว่าศาลอาญาถนนรัชดาภิเษก อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์กลับยกฟ้อง คดีจ้างวานฆ่านายเจริญ วัดอักษร แกนนำคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าฟ้าบ่อนอก และประธานกลุ่มอนุรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอก จ.ประจวบคีรีขันธ์
นางกรณ์อุมา กล่าวว่า ก็ไม่ได้ผิดความคาดการณ์ของเราตั้งแต่ต้น ซึ่งมือปืน 2 คนตายตั้งแต่ก่อนมีโอกาสขึ้นในชั้นศาล ดูเสมือนเป็นการตัดตอนทางคดีของผู้เกี่ยวข้องที่เหลือ แต่ว่าวันนี้ในข้อเท็จจริงของคดี มือปืนทั้ง 2 คนทั้งนายประจวบ หินแก้ว ลูกพี่ลูกน้องของจำเลยที่ 3 กับ ส.อบจ.มาโนช จำเลยที่ 4 กับนายเสน่ห์ เหล็กล้วน มือปืนที่ถูกจับได้ที่บ้านของนายธนู หินแก้ว ทั้ง 2 คน
ซึ่งในชั้นพนักงานสอบสวนมีการรับสารภาพไว้ว่า ได้ร่วมกันวางแผนกับจำเลยในคดีดังกล่าว โดยมีการพานายประจวบ หินแก้ว มาจากบ้านของนายธนู หินแก้ว มาเจอกับนายเสน่ห์ เหล็กล้วน ที่ปั๊ม ปตท.สี่แยกบ่อนอกของกำนันเจือ หินแห้ว ในสมัยนั้น ในการรับสารภาพของชั้นพนักงานสอบสวนกระทำต่อหน้านายอุมพร คชหิรัญ (นาท ภูวนัย) รอง ผวจ.ประจวบคีรีขันธ์ ในสมัยนั้น ถามว่าหลักฐานเท่านั้นยังไม่เพียงพอที่จะอาผิดกันอีกหรือจะต้องให้ผู้กระทำความผิดไปยืนสารภาพต่อหน้าศาลว่า เค้าเป็นผู้บงการจึงจะสามารถเอาผิดได้
นางกรณ์อุมา กล่าวต่อว่า ในส่วนของพวกเรานับตั้งแต่นายเจริญ วัดอักษร โดนยิงเสียชีวิตได้ติดตามคดีตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวนจนถึงศาลชั้นต้น จนมีคำพิพากษาออกมา พวกเรามีบทวิเคราะห์ และสรุปกันว่า ไม่สามารถหวังขบวนการยุติธรรมได้ ดังนั้น โจทก์ร่วมของพวกเราจึงไม่ไปร่วมลงชื่อเป็นโจทก์ร่วม คงต้องเป็นหน้าที่ของฝ่ายกระบวนการยุติธรรมที่อัยการต้องทำหน้าที่พิสูจน์ตัวเองในการที่จะดำเนินคดีให้แก่เราต่อไป แต่ว่าวันนี้ผลจากศาลอุทธรณ์เรามีบทสรุปแล้วว่า ศาลฎีกาเราคงคาดหวังไม่ได้เช่นกัน
“ตั้งแต่นายเจริญ วัดอักษร ถูกยิงเสียชีวิต เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2547 นับเป็นเวลา 9 ปีจวบจนถึงวันนี้ ตนเอง และชาวบ้านยังคงจัดงานทำบุญอยู่ทุกปีเพราะศพของเจริญ ยังตั้งอยู่ที่วัดสี่แยกบ่อนอก ส่วนจะทำการฌาปนกิจวันไหนยังไม่มีกำหนด และต้องบอกว่าวันนี้หากเราอยากได้ความเป็นธรรม ประชาชนอย่างพวกเราก็ต้องพึ่งตนเองเป็นหลัก” กรณ์อุมากล่าว