เชียงราย - ตำรวจไทยยันยังตามยึดทรัพย์เครือข่าย “หน่อคำ” แม้ศาลจีนตัดสินประหารแล้ว เหตุนำพวกปล้นฆ่าลูกเรือจีน 13 ศพกลางน้ำโขง
วันนี้ (28 ก.พ.) พล.ต.ต.วันชัย สุวรรณศิริเขต ผบก.ภ.จว.เชียงราย กล่าวว่า จากกรณีที่นายหน่อคำพร้อมกับพวกที่ก่อเหตุปล้นฆ่าลูกเรือจีน 13 ศพในลำน้ำโขง และถูกศาลประเทศจีนตัดสินประหารชีวิตวันที่ 1 มีนาคมนี้ ถือเป็นคนละส่วนกับมาตรการตรวจยึดทรัพย์ของตำรวจ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ที่ได้เข้าไปยึดทรัพย์สินเครือข่ายนายหน่อคำก่อนหน้านี้ เพราะคดีอาญาก็ต้องว่ากันไปตามขั้นตอน ส่วนการยึดทรัพย์ก็จะต้องดำเนินการต่อไปเช่นกัน เนื่องจากยังมีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องหลายคน และอีกหลายเรื่อง ดังนั้น มาตรการป้องกันและปราบปรามคนกลุ่มนี้ยังคงดำเนินต่อไป เช่นเดียวกับการตรวจยึดทรัพย์สินของเครือข่าย หากว่าพบหลักฐานเพิ่มเติมก็ต้องดำเนินการต่อไป
“เมื่อเร็วๆ นี้ตำรวจและป.ป.ส.ได้เข้าตรวจยึดทรัพย์ที่เชื่อว่าเป็นของนายหน่อคำ มูลค่า 73 ล้านบาท ที่บ้านไม่มีเลขที่ พร้อมที่ดินเขตบ้านสันติคีรี ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย 1 แห่ง และ จ.เชียงใหม่ อีก 2 แห่ง รวมทั้งยึดบ้านของนายจำรัส สมพงษ์พรรณ หรือลุงหนวด วัย 60 ปี ที่ชุมชนป่าเหมือด ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ซึ่งเชื่อว่ามีเป็นเครือข่ายเดียวกันด้วย แต่ขณะนี้นายจำรัสยังคงหลบหนีอยู่”
พล.ต.ต.วันชัยกล่าวว่า ส่วนคดีทหารกองกำลังผาเมือง 9 นายที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฆ่าและซ่อนเร้นศพลูกเรือชาวจีนนั้นยังคงอยู่ในชั้นอัยการและศาล ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติเคยตั้งคณะกรรมการลงไปคลี่คลายคดีโดยตรง
รายงานข่าวแจ้งว่า นายหน่อคำ หรือจายหน่อคำ เป็นชาวไทยใหญ่ อายุประมาณ 35 ปี เคยเป็นทหารให้กับชนกลุ่มน้อยในฝั่งพม่า และเคยข้ามมาอาศัยอยู่ในฝั่ง อ.แม่สาย จนมีภรรยาอยู่ฝั่งแม่สาย ก่อนจะกลับไปฝั่งท่าขี้เหล็กมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องการยิงเรือสินค้าจีน เก็บค่าผ่านทางทั้งเรือสินค้า และยาบ้าเม็ดละ 1 บาทมานาน ที่ผ่านมาเคยมีเหตุปะทะกับกองกำลังทหารพม่าที่บ้านสามพู และท่าเรือเมืองพง รวมทั้งเจ้าหน้าที่ สปป.ลาว บริเวณเมืองมอม แขวงบ่อแก้วหลายครั้ง
จนล่าสุดเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2554 ก่อเหตุปล้นเรือจีนทั้ง 2 ลำ และฆ่าลูกเรือรวม 13 ศพ ศพลอยไปติดฝั่งไทยและลาว ส่วนเรือสินค้าลอยติดฝั่งบ้านสบรวก ต.เวียง อ.เชียงแสน บนเรือมียาบ้ารวมกันกว่า 920,000 เม็ด เป็นเหตุทำให้ทางการจีนไม่พอใจอย่างมาก จึงผลักดันให้แต่ละประเทศตั้งกองกำลังปราบปราม รวมทั้งมอบเรือบรรทุกกองกำลังและอาวุธให้พม่าและลาว ประเทศละ 1 ลำ ส่วนจีนใช้กำลังตำรวจตระเวณชายแดนกว่า 300 นาย พร้อมเรือไม่ต่ำกว่า 8 ลำ ทำการคุ้มกันเรือตลอดเส้นทางเชียงแสน-กวนเหล่ย มณฑลหยุนหนัน ระยะทาง 264 กิโลเมตร จนสามารถจับกุมนายหน่อคำพร้อมพวกที่หลบซ่อนอยู่ใกล้เมืองมอม ได้เมื่อต้นปี 2555 และนำตัวไปพิจารณาคดี
ขณะที่บรรยากาศชายแดนด้าน อ.เชียงแสน ซึ่งห่างจากจุดเกิดเหตุปล้นฆ่าลูกเรือจีน 13 ศพ พบว่าช่วงนี้ยังคงมีเรือสินค้าขนาดเล็กสัญชาติลาวแล่นไปมาวันละไม่กี่ลำ เนื่องจากเป็นช่วงฤดูแล้ง เรือสินค้าขนาดใหญ่ โดยเฉพาะเรือสินค้าจีนจึงไม่เดินเรือในช่วงนี้
ส่วนที่ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดในแม่น้ำโขง (ศปปข.) ส่วนหน้าของไทย ซึ่งตั้งอยู่ท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 1 ยังคงมีตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประจำการพร้อมล่ามที่คอยแปลภาษาจากเรือสินค้าตามปกติ โดยมีการลาดตระเวนเป็นครั้งคราว ตามข้อตกลงที่จีนผลักดันให้พม่า ลาว และไทย ดำเนินการหลังเกิดเหตุ ส่วนเรือหยู ชิง ปา เห่า และเรือหัวปิงที่เป็นของกลางในคดียังคงจอดอยู่ที่ท่าเรือใกล้กับ ศปปข.