เพชรบุรี - ผู้ว่าฯ เพชรบุรีออกอาการป้อง “พ.ต.ท.” แก๊งร่วมล่าสัตว์ป่าในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานกับพรรคพวกอีก 8 คน หลังตำรวจแก่งกระจานสั่งไม่ฟ้อง ระบุการทำงานของฝ่ายปกครองเป็นไปตามคำสั่งของมหาดไทย และพิจารณาตามเอกสารหลักฐานของตำรวจ เชื่อให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย ลั่นหาก “ชัยวัฒน์” มีหลักฐานเพิ่มให้นำส่งตำรวจที่ทำสำนวนได้ทันที
วันนี้ (24 ม.ค.) นายมณเฑียร ทองนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี ได้กล่าวถึงกรณีที่ทางพนักงานสอบสวน สภ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี สั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท.ธีรยุทธ เกตุมั่งมี สารวัตร สภ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ กรณีร่วมกันล่าสัตว์ป่าในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กับพรรคพวกอีก 8 คนว่า เรื่องนี้เป็นขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งประกอบด้วยฝ่ายสอบสวน ที่มีอัยการจังหวัดเป็นผู้กลั่นกรองสำนวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวนอีกชั้นหนึ่ง ก่อนส่งให้ศาลเป็นผู้พิจารณาตัดสิน ซึ่งกระบวนการยุติธรรมมีหลายขั้นตอน การจับกุมการสอบสวน ถือว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมีดุลพินิจในการสอบสวนเบื้องต้น จากพยานหลักฐานที่ได้รับมา
“ในชั้นนี้เท่าที่ดูจากสำนวนรายงานของทางตำรวจเอง พ.ต.ท.ธีรยุทธ เกตุมั่งมี ไม่มีอาวุธปืนที่นำเข้า และไม่ได้ร่วมอยู่ในทีมเดียวกันกับที่จับไป ต่างคนต่างไปแล้วไปเจอกันในนั้น ก็เลยไม่ได้มีข้อหา เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงสั่งไม่ฟ้อง จึงเป็นที่มาของข่าวในครั้งนี้ ซึ่งตรงนี้เราต้องเคารพดุลพินิจของตำรวจท้องที่ที่เขาทำสำนวนมา”
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องมาถึงสำนักงานอัยการจังหวัดเพชรบุรี ทางสำนักงานอัยการจังหวัดเพชรบุรี คงจะมอบหมายท่านอัยการท่านใดท่านหนึ่งเป็นผู้รับผิดชอบดูแลสำนวน ถ้ามีช่อง มีความสงสัยในประเด็นก็อาจจะให้มีการเสาะหาพยาน และสอบสวนเพิ่มเข้ามา ซึ่งความเห็นของทางสำนักงานอัยการจังหวัดเพชรบุรี ก่อนจะเสนอสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องผู้ต้องหาขึ้นอยู่กับว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอหรือไม่ ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าเห็นสอดคล้องกับทางตำรวจที่แก่งกระจาน หรือว่าจะมีความเห็นขัดแย้งกัน ก็จะสั่งฟ้องก็ได้ ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่จะต้องชั่งน้ำหนักในชั้นของสำนักงานอัยการจังหวัดเพชรบุรีต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า สำหรับกรณีที่นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จะนำภาพถ่ายทั้งหมดมาให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี เพื่อนำยื่นต่ออัยการจังหวัดต่อไปนั้นสามารถทำได้หรือไม่ นายมณเฑียร กล่าวว่า นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ควรจะนำไปมอบให้ทางตำรวจมากกว่า เพราะถ้ามามอบให้ผู้ว่าฯ เราก็ต้องส่งกลับสถานีตำรวจภูธรแก่งกระจานต่อไปอยู่ดี เพื่อประกอบสำนวน
“ถ้าเขามีหลักฐานเพิ่มเติมนอกเหนือจากหลักฐานที่เขามีอยู่แล้ว หรือได้ข้อมูลใหม่มาก็ให้ผู้รับผิดชอบสำนวนไปประกอบการพิจารณา ในกรณีที่อัยการอาจจะมีการสั่งให้สอบเพิ่มเติม เพื่อให้สำนวนมีความรัดกุมยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เราต้องให้เวลาทาสำนักงานอัยการฯ ด้วย ว่า จากสำนวนที่ตำรวจสั่งไม่ฟ้องนี่ ดูแล้วรัดกุมเพียงพอไหม ทั้งพยานบุคคล และพยานวัตถุ ภาพถ่ายอะไรต่างๆ เหล่านี้ เพียงพอหรือยัง ถ้าไม่พอควรจะสอบเพิ่มไหม อาจจะกำหนดประเด็นให้ทางตำรวจไปสอบเพิ่มเติมในประเด็นใดที่คิดว่ายังไม่รัดกุมเพียงพอ ส่วนหลักฐานถ้ามาส่งให้ผมก็ไม่มีประโยชน์ มันข้ามขั้นตอนไป ส่งไปที่ตำรวจที่เป็นเจ้าของสำนวนจะดีกว่า” ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรีกล่าว
ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี ยังกล่าวถึงการทำงานของฝ่ายปกครองที่ร่วมสอบสวนคดีนี้ว่า ในการร่วมสอบสวนของฝ่ายปกครองที่มีนายอำเภอแก่งกระจาน เข้าร่วมสอบสวนนั้นเรามีหนังสือสั่งการของกระทรวงมหาดไทยว่า คดีที่เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายอำเภอควรจะต้องเข้าไปควบคุมคดีเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม เพราะเราถือว่าคดีที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเราถือเป็นเรื่องที่สำคัญ เช่น เรื่องการตัดไม้ทำลายป่า การเข้าไปล่าสัตว์ในเขตอุทยานฯ เป็นต้น เพราะฉะนั้น คดีพวกนี้เขาสั่งให้นายอำเภอต้องเข้าไปควบคุมคดีเอาสำนวนจากทางตำรวจมาดูแล้วตัวเองก็เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนเพื่อให้คดีเกิดความเป็นธรรม
ดังนั้น การที่นายอำเภอไม่ได้เป็นคนเข้าไปร่วมจับกุมก็เป็นเรื่องธรรมดา เป็นหนังสือสั่งการ เพราะจะให้นายอำเภอเข้าไปร่วมจับกุมด้วยตัวเองทุกพื้นที่ไม่ได้ทุกคดี เราจึงต้องดูจากเอกสารพยานหลักฐานต่างๆ ที่ตำรวจรวบรวมมา ดูจากสำนวน การสอบครบทุกปากไหม ทุกประเด็นไหม ถ้านายอำเภอไม่เข้าไปถือเป็นข้อบกพร่องด้วยซ้ำไป
“หลังจากที่มีข่าวออกมา ผมได้โทรศัพท์คุยกับนายสุทธิพงษ์ ตันบุญยศิริเดช นายอำเภอแก่งกระจานบ้างแล้วว่าท่านได้เข้าไปเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนหรือเปล่า เพราะเกรงว่าหากเขาไม่เข้าไปเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนเขาจะบกพร่องต่อหน้าที่ และได้ถามว่า ท่านได้ให้ความเป็นธรรมเพียงพอหรือไม่ ซึ่งตรงนี้ผมถือว่าเป็นดุลพินิจของนายอำเภอ” ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรีกล่าว