ลำปาง - นายท้ายเรือเข้าร้องสื่อหลังถูกย้ายมาเฝ้าอุทยานแม่ปิงจังหวัดลำพูน ทั้งๆ ที่ไม่มีทะเลและไม่มีงานเกี่ยวข้องให้ทำ คาดเอี่ยวกรณีเข้าไปเป็นพยานให้ดีเอสไอ เอาผิดหัวหน้าอุทยานฯ เรื่องแจ้งเท็จเรือตรวจการณ์สูญหายจากสึนามิ มูลค่าร่วม 40 ล้านบาท
วันนี้ (14 ม.ค.) ที่มัสยิดอัลฟาฮาฬ จังหวัดลำปาง นายนรินทร์ หมันนาเกลือ ลูกจ้างประจำตำแหน่งนายท้ายเรือกล ชายทะเล ระดับ 2 พร้อมด้วยนายพะโยม สมบัตินา วิทยากรมุสลิมเพื่อความมั่นคงภายในและกรรมการมัสยิดลำปาง ได้นำเอกสารอันเกี่ยวกับคดีและการฟ้องร้อง ร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่างๆ มามอบแก่สื่อมวลชน พร้อมร้องขอความเป็นธรรม และให้ช่วยตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นแก่ตนเอง
หลังได้รับแรงกดดันจากการย้ายมาประจำที่อุทยานแห่งชาติแม่ปิง จังหวัดลำพูน สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 ซึ่งมีพื้นที่ดูแล 4 จังหวัด คือ อ.อมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่, อ.ลี้ จ.ลำพูน, อ.สามเงา จ.ตาก และ อ.แม่พริก จ.ลำปาง
นายนรินทร์ได้เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ขณะนี้ตนลำบากมาก หลังถูกย้ายให้มาประจำที่อุทยานแห่งชาติแม่ปิง ต.ก้อทุ่ง อ.ลี้ จ.ลำพูน ซึ่งเป็นพื้นที่ทุรกันดาร การสื่อสารต่างๆ ไม่สามารถติดต่อได้ และตนเป็นมุสลิมต้องทำละหมาดในมัสยิดทุกวันศุกร์ก็ไม่สามารถทำได้ อาหารการกินก็ไม่สามารถกินร่วมกับคนอื่นๆ ได้ ต้องซื้อไข่-ปลากระป๋องไปไว้กินเท่านั้น
นอกจากนี้ยังถูกจำกัดสิทธิในการลาต่างๆ รวมถึงการลาเพื่อประกอบกิจทางศาสนา ซึ่งชาวมุสลิมต้องยึดมั่นอย่างเคร่งครัดอีกด้วย แม้แต่การเดินทางมาจากจังหวัดสตูลเพื่อมาประจำที่จังหวัดลำพูนตนก็ถูกตัดสิทธิในการได้รับค่าขนย้ายและค่าเดินทางทุกอย่าง
ทั้งนี้ การที่ตนถูกย้ายมาประจำอยู่ที่นี่ก็ไม่สามารถทำงานใดๆ ได้ เนื่องจากตำแหน่งของตนคือนายท้ายเรือกลชายทะเล แต่ย้ายมาประจำอยู่บนบก เพื่อเฝ้าอุทยานฯไปวันๆ เท่านั้น ส่วนภรรยาของตนเอง ซึ่งเดิมเป็นลูกจ้างชั่วคราวอยู่ที่เกาะพีพี จ.กระบี่ ก็ถูกเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุผลด้วย ตนจึงตัดสินใจออกมาเปิดเผยเรื่องที่เกิดขึ้นกับสื่อมวลชน เพื่อขอรับความเป็นธรรมจากการโยกย้ายในครั้งนี้
นายนรินทร์ ระบุว่า เหตุที่ตนเองถูกย้ายครั้งนี้ เนื่องจากตนไปเป็นพยานให้กดีเอสไอ กรณีที่นายวิทยา หงษ์เวียงจันทร์ อดีตผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ (คุมอุทยานแห่งชาติทั่วประเทศ) ถูกดีเอสไอชี้มูลความผิดเรื่องการแจ้งเท็จเรือยางและเรือตรวจการณ์สูญหายจากคลื่นยักษ์สึนามิ ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 37 ล้านบาท ขณะนี้เรื่องดังกล่าวดีเอสไอได้ชี้มูลความผิดและส่งเรื่องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ แล้ว
ด้านนายพะโยม สมบัตินา วิทยากรมุสลิมเพื่อความมั่นคงภายในและกรรมการมัสยิดลำปาง กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นกับนายนรินทร์ ตนอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าใจว่า เรื่องเกี่ยวกับศาสนามุสลิม คนที่เป็นมุสลิมจะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตามหลักศาสนา โดยเฉพาะเรื่องการละหมาด ก็เหมือนกับการเข้าวัดของชาวพุทธ อย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ทุกคนจะต้องทำละหมาด1ครั้งในวันศุกร์ หากไม่ได้ทำละหมาดติดต่อกัน 3 ครั้ง ก็เท่ากับเป็นการไม่รักษาศีลและคนๆ นั้นก็จะรู้สึกผิด ไม่สบายใจ เพราะจะถือว่าเป็นบาปติดตัว เมื่อไม่สบายใจแล้วก็จะส่งผลถึงด้านครอบครัว และการทำงานด้วย
จึงอยากให้พิจารณาเรื่องนี้ด้วย เพราะหากไม่ย้ายกลับไปในที่ที่มีมัสยิด เพื่อให้ได้ประกอบกิจทางศาสนาได้ ก็เท่ากับว่าเป็นการขัดขวางการดำเนินการทางศาสนาด้วย