เชียงราย - ศุลกากรเชียงรายขนสินค้าผิดกฎหมาย-ละเมิดลิขสิทธิ์ทำลายกว่า 45,000 ชิ้น มูลค่ากว่า 130 ล้าน แจงผู้ค้าลักลอบขนข้ามชายแดนก่อนบรรจุเป็นพัสดุส่งทางไปรษณีย์ พบ “ซีดี-ดีวีดี” ส่งกันครั้งละหลายหมื่นบาท เป้าหมายที่หัวลำโพง
วันนี้ (25 ธ.ค. 2555) รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า ที่อาคารศุลกากร อ.แม่สาย ชายแดนไทย-พม่า นายเสรี ไทยจงรักษ์ ผอ.สำนักงานศุลกากรภาค 3 ได้นำเจ้าหน้าที่ศุลกากรทำลายของกลางผิดกฎหมายและสินค้าลอกเลียนแบบเครื่องหมายการค้าหรือละเมิดลิขสิทธิ์ ประกอบไปด้วย สุราและบุหรี่ต่างประเทศ แผ่นซีดีและดีวีดีเกี่ยวกับภาพยนตร์และเพลง รองเท้าและชุดกีฬา เสื้อผ้า กระเป๋าถือสตรี โทรศัพท์เคลื่อนที่พร้อมอุปกรณ์ แว่นตากันแดด ตู้เกมไฟฟ้า เลื่อยโซ่ เป็นต้น โดยของกลางทั้งหมดเจ้าหน้าที่ศุลกากรได้ยึดจากกลุ่มผู้กระทำความผิดตามแนวชายแดนในช่วงเวลาตั้งแต่เดือน ก.ค.-ต.ค. 2555 ที่ผ่านมา
นายเสรีกล่าวว่า ศุลกากรภาค 3 และด่านศุลกากรพื้นที่ จ.เชียงราย ทั้งเชียงของ เชียงแสน และแม่สาย ได้ดำเนินการตามนโยบายของกรมศุลกากรในการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดด้านการละเมิดลิขสิทธิ์อย่างเข้มงวด โดยในครั้งนี้พบว่าทั้ง 3 ด่านชายแดนมีการกระทำความผิดรวมกันกว่า 160 แฟ้มคดี จำนวนกว่า 45,000 ชิ้น รวมมูลค่าของกลางทั้งหมดประมาณ 130 ล้านบาท
ทั้งนี้ อยากเตือนให้ผู้ที่นิยมสินค้าประเภทนี้ลดการใช้ลง เพราะนอกจากจะทำให้เจ้าของลิขสิทธิ์เดือดร้อนแล้ว ยังส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่ถูกขึ้นบัญชีดำ โดยองค์การการค้าโลกหรือดับเบิลยูทีโอ ให้เป็นที่ผลิตและมีอยู่ของสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์จำนวนมาก ซึ่งมีผลให้เกิดการจำกัดการส่งออกสินค้าบางชนิดในตลาดโลกจนสร้างผลเสียต่อประเทศไทยในภายหลัง
ด้านนายกิตติ สุทธิสัมพันธ์ นายด่านศุลกากรแม่สายกล่าวว่า พฤติกรรมของกลุ่มผู้ลักลอบนำเข้าสินค้าประเภทนี้จะอาศัยชายแดนที่มีลำน้ำเล็กๆ ข้ามเข้าออกได้ง่าย และนำใส่กระสอบหรือกระเป๋าเป็นกองทัพมดข้ามมายังฝั่งไทย แม้ส่วนหนึ่งจะถูกเจ้าหน้าที่ยึดได้ตามชายแดน แต่ส่วนที่หลุดรอดไปได้จะถูกนำไปบรรจุกล่องหรือพัสดุแล้วนำไปส่งที่สำนักงานไปรษณีย์หรือบริษัทขนส่งสินค้า เพื่อส่งเข้าไปยังชั้นในของประเทศคราวละมากๆ
นายกิตติกล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันพบว่าสินค้าอย่างดีซีดีและวีซีดีถูกขนส่งโดยใช้วิธีการที่กล่าวมาเป็นจำนวนมาก มูลค่าครั้งละหลายหมื่นบาท โดยมีเป้าหมายอยู่ที่หัวลำโพง กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้แม้ที่ผ่านมาจะได้ขอความร่วมมือกับไปรษณีย์ในการตรวจสอบ แต่ก็เป็นไปด้วยความยากลำบากในขั้นตอนการปฏิบัติ เพราะนอกจากสินค้าที่ฝากส่งจะมีปริมาณมากทำให้ยากที่เจ้าหน้าที่จะสามารถเปิดตรวจสอบได้ทุกชิ้นแล้ว เมื่อตรวจสอบบางรายการได้กลับพบว่ารายชื่อผู้ส่งและผู้รับไม่ใช่ชื่อจริง ทำให้ไม่สามารถจะติดตามขยายผลว่าใครเป็นผู้ส่งหรือผู้รับสินค้าดังกล่าวได้