xs
xsm
sm
md
lg

รปภ.งานไหมฯ ขอนแก่นชุ่ย! แม่ค้าชาวลาวแจ้งความถูกหัวขโมยฉกผ้าไหมโบราณ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นางบุญมี เรืองวงภาว อายุ 51 ปี แม่ค้าที่มาแสดงและจำหน่ายสินค้าในกลุ่มประเทศอาเซียน ภายในงานเทศกาลไหม ประเพณีผูกเสี่ยวและงานกาชาดประจำปี 2555 ร้องทุกข์ผ้าไหมโบราณหายไปหลายชิ้นมูลค่ากว่าแสนบาท
ศูนย์ข่าวขอนแก่น - งามหน้า! งานเทศกาลไหมฯ ขอนแก่น ระบบรักษาความปลอดภัยชุ่ยจนหัวขโมยเข้าไปฉกสินค้าผ้าไหมโบราณมูลค่านับแสนบาทจากบูทสินค้าอาเซียนที่เข้าร่วมงานตามคำเชิญของสถานกงสุล ซ้ำบูทตั้งห่างเต็นท์อำนวยการแค่ 10 เมตร เผยแต่ละวันพ่อค้าแม่ค้าต้องจ่ายค่า รปภ.ให้ตำรวจวันละ 300 บาท คาดหัวขโมยน่าจะเป็นคนใกล้ตัวหรือมิจฉาชีพที่แฝงเข้ามาก่อเหตุในงาน

รายงานข่าวแจ้งว่า ช่วงสายของวันนี้ (6 ธ.ค.) ร.อ.สมปอง สาสิงห์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ปกครองจังหวัดขอนแก่น ได้พานางบุญมี เรืองวงภาว อายุ 51 ปี พักอาศัยอยู่ที่บ้านโนนสง่า แขวงไชยเชษฐา นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว ซึ่งเป็นแม่ค้าที่มาแสดงและจำหน่ายสินค้าในกลุ่มประเทศอาเซียน ภายในงานเทศกาลไหม ประเพณีผูกเสี่ยวและงานกาชาดประจำปี 2555 ที่บริเวณด้านหน้าศาลากลาง ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อร้อยเวรประจำวัน พ.ต.ท.พิสิฐ หลวงเทพ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น

โดยนางบุญมี เรืองวงภาว ผู้เสียหายแจ้งความว่า ผ้าไหมโบราณที่ตนนำมาแสดงและจำหน่ายในงานเทศกาลไหมฯ ได้หายไปเป็นจำนวนมาก หลังรับแจ้งจึงได้รายงานให้ พ.ต.อ.จรูญ นวมทอง ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น และ พ.ต.ท.สิทธิชัย โสภาเจริญรัตน์รอง ผกก.ป.สภ.เมืองขอนแก่น ได้รับทราบก่อนจะลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ

ที่เกิดเหตุภายในจุดแสดงและจำหน่ายสินค้าในกลุ่มประเทศอาเซียน ด้านข้างเวทีกลางงานเทศกาลไหมฯ ติดกับอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 ห่างจากจุดรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่น และกองอำนวยการงานไหมฯ เพียง 10 เมตร พบว่าในร้านที่ 2 ในกลุ่มประเทศ สปป.ลาว มีร่องรอยของการรื้อค้นในจุดที่มีการแสดงและจำหน่ายผ้าไหม ประเภทผ้าถุง และผ้าไหมสำเร็จรูปแบบทอมือในกลุ่มผ้าไหมโบราณหายากได้หายไป

นางบุญมีเล่าว่า ในช่วงคืนวันอังคารที่ผ่านมา (4 ธ.ค.) หลังเสร็จสิ้นการจำหน่ายสินค้าประจำวัน จึงได้ชักชวนเพื่อนพ่อค้าและแม่ค้าที่มาจำหน่ายสินค้าในงานดังกล่าวปิดร้านเพื่อรีบกลับห้องพักไปชมละคร “แรงเงา” เนื่องจากเป็นตอนอวสาน โดยปิดร้านตามปกติด้วยการนำผ้ามาคลุมพื้นที่จัดแสดงและนำสินค้าบางรายการที่มีราคาแพงนำกลับไปด้วย

แต่ด้วยเวลาที่ใกล้ละครจะเริ่มเล่นจึงได้นำผ้าไหมโบราณในประเภทลายต่างๆ ซึ่งมีราคาขายชิ้นละ 6,000-20,000 บาทวางปะปนไปกับผ้าไหมต่างๆ เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตของกลุ่มหัวขโมย หลังจากนั้นได้รีบเดินทางออกจากงาน

จนกระทั่งรุ่งเช้าวันถัดมา (5 ธ.ค.) ได้มาเปิดร้านตามปกติ ก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติอะไรมากนัก จนกระทั่งในช่วงเช้าของวันนี้ (6 ธ.ค.) จึงได้ตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อตรวจเช็กยอดสินค้า พบว่าผ้าไหมโบราณที่มีราคาแพงและลวดลายที่สวยงามได้หายไปรวมทั้งหมด 9 ชิ้น ประกอบด้วย ผ้าไหมโบราณลายมุก ลายกะเลาะ และลายทอมือโบราณในประเภทผ้าถุงได้หายไป คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 100,000 บาท

นางบุญมีเล่าต่อว่า ร้านค้าในกลุ่มประเทศอาเซียนได้รับคำเชิญจากสถานกงสุลใหญ่ฯ จากประเทศต่างๆ ให้นำสินค้ามาร่วมแสดงและขายในงานเทศกาลไหมฯ ที่ขอนแก่น ซึ่งร้านค้ากว่า 10 ร้านค้าที่มาร่วมนั้นจะต้องเสียค่ารักษาความปลอดภัยให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมี อาสาสมัครตำรวจมาทำการเก็บค่าใช้จ่ายดังกล่าววันละ 300 บาท ทุกร้านต้องจ่าย ซึ่งตนได้บันทึกและจดชื่อผู้ที่มารับเงินไว้ทุกวัน จนกระทั่งในช่วงของการนับจำนวนสิ่งของเมื่อเช้านี้ก็พบว่าผ้าไหมโบราณประเภทผ้าถุงได้หายไป จึงได้เข้าแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองเพื่อนำไปสู่ขั้นตอนของการแจ้งความในการเร่งติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ หากการจัดรักษาความปลอดภัยให้กับกลุ่มร้านค้าจากประเทศอาเซียนตามคำเชิญของทางจังหวัดหละหลวมได้มากขนาดนี้ คาดว่าพ่อค้าและแม่ค้าหลายรายคงต้องเก็บของกลับประเทศแม้งานจะยังเหลืออีกหลายวันก็ตาม

“พวกเราไม่มั่นใจในการจัดการระบบรักษาความปลอดภัยของจังหวัดผู้จัดงาน ทั้งที่พวกเราได้จ่ายค่ารักษาความปลอดภัยให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไปแล้วเป็นประจำทุกวันวันละ 300 บาท แต่ของก็หายจนได้” นางบุญมีกล่าว

ด้าน พ.ต.อ.จรูญ นวมทอง ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น กล่าวว่า ชุดสืบสวนสอบสวนได้สอบปากคำและเก็บรวบรวมข้อมูลหลักฐาน โดยเฉพาะลายผ้าไหมและหลักฐานทั้งหมดที่เจ้าของร้านได้มีการเขียนรายชื่อและลงรหัสเลขไว้เพื่อเร่งประสานตรวจสอบไปร้านรับซื้อของเก่า และร้านค้าที่รับซื้อผ้าไหม เผื่อคนร้ายได้นำไปขาย

พร้อมกันนั้นจะทำการตรวจสอบอาสาสมัครตำรวจ ที่ได้เรียกเก็บค่ารักษาความปลอดภัยดังกล่าวทั้งหมดพร้อมตรวจสอบนายตำรวจที่เข้าเวรในช่วงวันที่ 4-6 ธ.ค.ว่าบกพร่องในการทำหน้าที่อย่างไรจนเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ที่สำคัญเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับแขกที่ได้รับเชิญมาจากกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน

อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นได้สันนิษฐานว่าผู้ก่อเหตุน่าจะเป็นคนใกล้ตัวที่รู้ที่ซ่อนผ้าไหมราคาแพง รวมไปถึงกลุ่มมิจฉาชีพที่แฝงเข้ามาก่อเหตุในงานเทศกาลฯ
เป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าเกิดขึ้น เพราะบูธแสดงและจำหน่ายสินค้ากลุ่มประเทศอาเซี่ยนอยู่ห่างจากศูนย์อำนวยการฯประมาณ 10 เมตร ซ้ำพ่อค้าแม่ค้าที่มาเช่าบูธแสดงสินค้าเหล่านี้ต้องจ่ายค่าจ้างรักษาความปลอดภัยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจวันละ 300 บาท
เจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่ตรวจสอบหาเบาะแสคนร้าย
กำลังโหลดความคิดเห็น