ศูนย์ข่าวนครราชสีมา- “หลวงพ่อคูณ” อาพาธ ลูกศิษย์พร้อมทีมแพทย์ รพ.ด่านขุนทด นำส่งรักษาที่ รพ.มหาราชนครราชสีมาเป็นการด่วน หลังมีอาการอาเจียน ซึม และมีไข้ แพทย์ระบุเบื้องต้นปอดบวมจากการติดเชื้อแบคทีเรียเหตุสำลักอาหาร ชี้อยู่ในภาวะวิกฤตอาการหนักแต่ไม่ถึงขั้นโคม่า ต้องติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ยันแพทย์ รพ.มหาราชโคราชรับมือไหว ยังไม่ต้องส่งรักษาต่อที่กรุงเทพฯ
วันนี้ (29 พ.ย.) เมื่อเวลา 16.30 น. ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา ทีมแพทย์โรงพยาบาลด่านขุนทด อ.ด่านขุนทด พร้อมลูกศิษย์ใกล้ชิดได้นำพระเทพวิทยาคม หรือหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา อายุ 89 ปี เข้ารักษาอาการอาพาธเป็นการด่วน หลังมีอาการอาเจียน ซึม ไอ และมีไข้
โดยทันทีที่เดินทางถึงโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา นพ.พินิศจัย นาคพันธุ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นแพทย์ประจำตัวหลวงพ่อคูณ ที่มารอรับอยู่ด้านหน้าตึกอุบัติเหตุฉุกเฉิน อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ ได้นิมนต์หลวงพ่อคูณเข้าทำการเอกซเรย์ปอดที่ห้องเอกซเรย์ 2 จากนั้นได้นำหลวงพ่อคูณไปเอกซเรย์สมอง ด้วยเครื่อง CT แสกน บริเวณชั้น 1 ก่อนนำหลวงพ่อคูณขึ้นไปที่ชั้น 4 เพื่อตรวจคลื่นหัวใจที่ศูนย์โรคหัวหัวใจและหลอดเลือด ใช้เวลานานกว่า 1.30 ชั่วโมง จึงนิมนต์หลวงพ่อคูณขึ้นไปพักรักษาอยู่ที่ห้องผู้ป่วยพิเศษ 9821 ชั้น 8 ตึกเดียวกัน
นพ.พินิศจัย นาคพันธุ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา แพทย์ประจำตัวหลวงพ่อคูณ เปิดเผยว่า เมื่อเวลาประมาณ 11.50 น.วันนี้ (29 พ.ย.) หลวงพ่อคูณมีอาการอาเจียน และสำลักอาหาร จากนั้นทีมแพทย์ได้เฝ้าดูอาการ พบว่าหลวงพ่อเริ่มมีเสลด เสมหะมากและมีอาการสะอึก ต่อมามีอาการหนาวสั่น ซึม และมีไข้ทีมแพทย์จึงนิมนต์หลวงพ่อมาตรวจดูอาการอย่างละเอียดที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา
ทั้งนี้ จากการตรวจอาการเบื้องต้นคาดว่าหลวงพ่อมีอาการปอดบวมจากการติดเชื้อแบคทีเรียจากการสำลักอาหาร มีไข้ 39 องศาเซลเซียส น้ำหนักประมาณ 46 กิโลกรัม (กก.) สำหรับสาเหตุของการสำลักอาหารนั้น ต้องยอมรับว่าการให้อาหารผ่านทางสายยางเช่นเดียวกับหลวงพ่อ มีโอกาสที่จะสำลักได้ หากจะป้องกันอาการสำลักได้ 100% ต้องเอาสายยางไปไว้ที่ลำไส้เล็กซึ่งลำบาก การให้อาหารยาก และผลแทรกซ้อนจะมีมาก ทีมแพทย์จึงปรึกษากันแล้วว่าให้อาหารผ่านสายยางทางช่องท้องเพื่อลดการสำลัก ประกอบกับช่วงนั้นท่านฉันอาหารทางปากได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายและน้ำหนักลดลงเรื่อยๆ
นพ.พินิศจัยกล่าวอีกว่า การรักษาในขณะนี้ทีมแพทย์จะรักษาตามอาการที่เบื้องต้นทราบว่ามีอาการปอดบวมจากการติดเชื้อซึ่งได้ให้ยาปฏิชีวนะ และต้องรักษาแบบประคับประคอง จากนี้ต้องเฝ้าดูว่ามีภาวะแทรกซ้อนอย่างอื่นตามมาหรือไม่ ที่สำคัญคงต้องให้งดเยี่ยมอย่างเด็ดขาดเพราะที่ผ่านมาตอนที่ท่านอยู่วัดก็ปฏิบัติเช่นนี้มาโดยตลอด มีเพียงลูกศิษย์ที่คอยปรนนิบัติเท่านั้นและงดให้อาหารทางสายยาง แต่จะให้ทางอื่นแทน เช่น น้ำเกลือ
ต่อข้อถามที่ว่า อาการอาพาธของหลวงพ่อคูณถือว่าวิกฤตหรือไม่ นพ.พินิศจัยกล่าวว่า ถือว่าวิกฤตเพราะปีนี้ท่านก็จะอายุย่าง 90 ปีแล้ว และสำลักมากกว่าทุกครั้งเพราะเท่าที่ดูจากการดูเสลด เสมหะท่านที่สำลักเข้าไปค่อนข้างมาก ยอมรับว่าอาการหนักแต่ไม่ถึงขั้นโคม่า และยังไม่จำเป็นจะต้องส่งรักษาที่กรุงเทพฯ
อย่างไรก็ตาม หากประเมินแล้วอะไรที่เป็นประโยชน์กับท่านทีมแพทย์ก็พร้อมจะทำ ส่วนจะให้พักรักษาที่โรงพยาบาลนานเท่าไหร่นั้นยังไม่สามารถตอบได้ ต้องประเมินวันต่อวัน โดยยารักษาวัณโรคปอดจากที่ท่านเป็นอยู่ได้หยุดให้ยารักษาไป 2 วันแล้ว นั่นหมายถึงท่านหายแล้ว ซึ่งใช้เวลาในการรักษานานกว่า 1 ปีครึ่ง
“ยอมรับว่าอาการอาพาธของหลวงพ่อคูณครั้งนี้ทีมแพทย์ค่อนข้างซีเรียสกว่าทุกครั้ง เพราะอายุของท่านมากขึ้น ประกอบกับโรคประจำตัวของหลวงพ่อมีหลายอย่าง แต่ยืนยันว่าทีมแพทย์โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมายังสามารถรับมือได้” นพ.พินิศจัยกล่าว