เลย/มหาสารคาม - ภาวะความแห้งแล้งที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นส่งผลกระทบต่อชาวนาอย่างหนัก ต้นข้าวที่กำลังออกรวงกำลังแห้งลีบยืนต้นตาย เจ้าของนาต้องลงทุนสูบน้ำจากแหล่งน้ำหล่อเลี้ยงนาข้าวให้ฟื้น หวังเก็บเกี่ยวไว้กินและทำพันธุ์ในฤดูปลูกถัดไปแม้จะได้ผลผลิตไม่เต็มร้อยก็ตาม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากสภาพความแห้งแล้ง ขาดแคลนน้ำ เกษตรกรในแถบบ้านศรีสงคราม ต.ศรีสงคราม จ.เลย ที่ทำนาต้องเร่งสูบน้ำใส่นาข้าวก่อนเม็ดข้าวลีบตาย
นายนาถ บุญเกตุ อยู่บ้านเลขที่ 170 หมู่ 5 ต.ศรีสงคราม อ.วังสะพุง จ.เลย กล่าวว่า ขณะนี้ถือว่าแล้งมาก แล้งในปีนี้มาเร็วกว่าปกติประมาณ 3 เดือน ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน น้ำในคลองส่งน้ำตามอ่างเก็บน้ำต่างๆ ก็ไม่สามารถนำมาใช้ได้ แห้งขอด อำเภอวังสะพุงไม่เคยประสบปัญหาอย่างนี้ในรอบ 10 ปี
ตนมีที่นาและไร่ข้าวโพดประมาณ 8 ไร่ที่บริเวณบ้านอุดมศักดิ์ กำลังแห้งเหี่ยวตาย บริเวณนี้อยู่ท้ายอ่างเก็บน้ำห้วยอีเลิศ แต่ขณะนี้ไม่มีน้ำส่งมาเลย หากเปรียบเทียบกับปีกลายบริเวณบ้านอุดมศักดิ์จะมีน้ำตลอด แต่ปีนี้ไม่มีน้ำทำการเกษตรเลย
แต่ละวันต้องใช้น้ำมัน 5-6 ลิตร หรือประมาณ 170-200 บาทสูบน้ำมาเลี้ยงนาข้าว ข้าวโพดที่กำลังเหี่ยวตายและเม็ดข้าวที่กำลังเป็นข้าวน้ำนมจะลีบลงเพราะขาดน้ำไปหล่อเลี้ยง ในหนึ่งรวงเหี่ยวไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่หากมีน้ำไปช่วยก็อาจจะช่วยได้บ้าง เสียเงินสูบน้ำก็ต้องยอม
ขณะที่ชาวนาใน อ.เชียงยืน จ.มหาสารคามเองก็เช่าเครื่องสูบน้ำเพื่อสูบน้ำเข้านาข้าว ใช้เงินลงทุนวันละ 300 บาท
นายธงชัย ชอบแก้วกลาง ชาวนาบ้านหนองเดิ่น หมู่ 7 ต.เหล่าบัวบาน อ.เชียงยืน จ.มหาสารคาม เล่าว่า ตนมีที่นา 5 ไร่ ซึ่งช่วงนี้ข้าวอยู่ในระยะออกรวงเป็นน้ำนม แต่ปีนี้ประสบภัยแล้งอย่างหนักเนื่องจากพื้นที่นาของตนไม่มีคลองชลประทานผ่าน จึงต้องไปเช่าเครื่องสูบน้ำจากเพื่อนบ้านในราคาวันละ 300 บาท ซึ่งราคานี้ยังไม่รวมค่าเช่าท่อพีวีซี สายยาง และน้ำมัน เพื่อที่จะต่อท่อพีวีซีจากแหล่งน้ำ ระยะทางรวมกว่า 500 เมตรเพื่อที่จะสูบน้ำเข้านาข้าว
รวมแล้วตนต้องเสียค่าใช้จ่ายวันละ 800 บาท แต่ก็ต้องยอมเพื่อที่จะได้เก็บเกี่ยวข้าวในปีนี้ถึงแม้ว่าผลผลิตจะได้ไม่เต็ม 100% ก็ตาม ซึ่งคาดว่าในปีนี้คงไม่มีข้าวไปขายในโครงการรับจำนำของรัฐบาล คงต้องเก็บไว้กินและแบ่งไว้ทำพันธุ์ข้าวปลูกในฤดูกาลหน้าแทน