มุกดาหารตั้งด่านสกัดขนข้าวจากลาวลอบสวมสิทธิจำนำ

มุกดาหาร - ตำรวจ สภ.เมืองมุกดาหาร ตั้งด่านตรวจเข้มชายแดนไทย-ลาว ป้องกันการลักลอบขนข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาปลอมปน หรือสวมสิทธิในโครงการรับจำนำ ขณะคณะทำงานฯ เร่งตรวจสอบคุณสมบัติโรงสี หลังผ่านมากว่าสัปดาห์ยังไม่สามารถเปิดรับจำนำข้าวจากเกษตรกรได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (11 ต.ค.) ตำรวจ สภ.เมืองมุกดาหารตั้งจุดตรวจสกัดที่บริเวณบ้านโคกสุวรรณ อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งเป็นเขตรอยต่อระหว่างมุกดาหาร-แขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว เพื่อทำการตรวจค้นรถที่ผ่านเข้า-ออกอย่างเข้มงวดทุกคัน ป้องกันกลุ่มผู้ไม่หวังดีฉวยโอกาสลักลอบขนย้ายข้าวเปลือกจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีคุณภาพต่ำเข้ามาปลอมปน หรือสวมสิทธิในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้โครงการของรัฐ ทั้งยังทำให้ข้าวหอมมะลิของไทยเสื่อมคุณภาพด้วย

นอกจากนี้ ตามอำเภอต่างๆ ของจังหวัดมุกดาหารก็ได้มีการตั้งจุดตรวจเข้มเพื่อป้องกันการเคลื่อนย้ายข้าวจากนอกพื้นที่เข้ามาในพื้นที่จังหวัดโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างเข้มงวดด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานการตรวจพบผู้กระทำผิดแต่อย่างใด

แต่ในส่วนของมาตการการปราบปรามไม่ใช่จะปล่อยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามอยู่หน่วยเดียว อยากให้หน่วงงานที่มีหน้าที่ปราบปรามด้านการลักลอบของหนีภาษีโดยตรงเข้ามาจับมือร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามการลักลอบขนของหนีภาษีอย่างจริงจัง

อย่างเช่นที่บ้านหว้านน้อย อำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร ที่มีการลักลอบขนข้าวเปลือก และของลอบหนีภาษีเป็นจำนวนมาก จนทำให้รัฐต้องสูญเสียรายได้ประเทศเป็นจำนวนมหาศาลในแต่ละปี

ด้านนายสมบูรณ์ จุมพลเสถียร หัวหน้าสำนักงานการค้าภายในจังหวัดมุกดาหาร กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2555/56 ของรัฐบาล ซึ่งจะเริ่มเปิดโครงการจำนำข้าวในวันที่ 1 พ.ย. แต่จนถึงขณะนี้ในส่วนของ จ.มุกดาหารยังไม่สามารถเปิดรับจำนำได้ เพราะขณะนี้ทางคณะอนุกรรมการติดตามกำกับดูแลการรับจำนำข้าว และคณะทำงานฯ กำลังเร่งทำการตรวจสอบคุณสมบัติโรงสีที่สมัครเข้าร่วมโครงการ ทั้งในภาคอีสาน 8 แห่ง และนอกเขตภาคอีสาน 9 แห่ง เพื่อเสนอองค์การคลังสินค้า (อคส.) พิจารณาอนุมัติ และเปิดดำเนินการรับจำนำข้าวของเกษตรกร ซึ่งเชื่อว่าการตรวจสอบจะแล้วเสร็จ และสามารถเปิดรับจำนำได้

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เกษตรกรชาวนาจังหวัดมุกดาหารยังไม่ได้ทำการเก็บเกี่ยวผลผลิต จึงเชื่อว่ายังไม่ส่งผลกระทบ หรือสร้างความเดือดร้อนให้เกษตรกรแต่อย่างใด