ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - ฝรั่งทึ่ง ! นักวิทย์ไทยใช้ เทคโนฯ“แสงซินโครตรอน” สร้าง “กระจกเกรียบโบราณ” ต้นแบบ “วัดพระแก้ว” อายุกว่า 150 ปี ได้สำเร็จ เผยใช้เทคนิคการเรืองแสงย่านรังสีเอ็กซ์วิเคราะห์องค์ประกอบกระจกโบราณ และโครงสร้างอะตอมของธาตุ ทำให้รู้สูตรหุงกระจกเกรียบโบราณเพื่อสร้างกระจกที่มีสี รูปร่างเหมือนเดิมมากที่สุด รองรับบูรณปฏิสังขรณ์ “วัดพระแก้ว” ตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพฯ ชี้เป็นงานวิจัยฟื้นฟูมรดกทางวัฒนธรรมไทยชิ้นสำคัญ
ศาสตราจารย์ น.ท.ดร.สราวุฒิ สุจิตจร ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) เปิดเผยว่า สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์กรมหาชน) จ.นครราชสีมา กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ทำการศึกษาคุณสมบัติของกระจกเกรียบจากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ “วัดพระแก้ว” ตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยศึกษาทั้งองค์ประกอบทางเคมี และโครงสร้างอะตอมของกระจกตัวอย่างด้วยเทคโนโลยีแสงซินโครตรอน เพื่อจุดมุ่งหมายที่จะทำกระจกเกรียบขึ้นมาใหม่ที่มีคุณสมบัติเหมือนของเดิมทุกประการ สำหรับใช้ในการบูรณปฏิสังขรณ์วัดพระแก้วในอนาคต
ทีมงานนักวิจัยสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนได้ถวายรายงาน “แสงซินโครตรอนกับการศึกษากระจกเกรียบโบราณของไทย” เพื่อการใช้ประโยชน์ต่อการบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง แด่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เมื่อครั้งการประชุม “เวทีวิจัยด้านแสงซินโครตรอนภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย ครั้งที่ 6” ที่กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้ โดยมีนักวิทยาศาสตร์นานาชาติเข้าร่วมประชุมกว่า 200 คน ซึ่งต่างให้ความสนใจและชื่นชมนักวิทยาศาสตร์ไทยที่สามารถใช้แสงซินโครตรอนฟื้นฟูมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศได้อย่างน่าทึ่ง และงานวิจัยชิ้นนี้ถือเป็นผลงานชิ้นแรกและชิ้นสำคัญของสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนที่ต้องการฟื้นฟูมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศไทย
ทั้งนี้ สำหรับงานหุงกระจกและงานประดับกระจกเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งของงานช่างสิบหมู่โบราณของประเทศไทย มีความเจริญรุ่งเรืองนับแต่รัชกาลที่ 3 ซึ่งทรงโปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยฝาผนังด้านนอกเดิมเป็นลายทองรดน้ำพื้นสีแดง ได้ทำการแก้เป็นลายปั้นปิดทองพื้นประดับกระจกดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
กระจกดังกล่าวรู้จักกันในนามว่า “กระจกเกรียบ” เนื่องจากมีลักษณะบางเหมือนข้าวเกรียบ สามารถตัดเป็นชิ้นได้ง่าย เหมาะสำหรับงานประดับลวดลายอันละเอียดสวยงาม นอกจากการประดับตกแต่งฝาผนังแล้ว ยังได้ถูกนำมาใช้ตกแต่ง บุษบก เครื่องราชภัณฑ์ เครื่องใช้ทางศาสนา และวัตถุโบราณอันมีค่าต่างๆ
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าเสียดายยิ่งที่งานหุงกระจกและงานประดับกระจกขาดช่างฝีมือสืบทอดต่อกันมา จนในปัจจุบันยังไม่พบว่ามีแหล่งผลิตกระจกเกรียบในประเทศไทย จึงจำเป็นต้องใช้กระจกจากต่างประเทศในการซ่อมบำรุง
ดร.วันทนา คล้ายสุบรรณ์ นักวิจัยประจำสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) หนึ่งในทีมงานวิจัย เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ในการศึกษากระจกเกรียบโบราณด้วยแสงซินโครตรอน ทางคณะวิจัยซึ่งประกอบด้วย ดร.ประยูร ส่งสิริฤทธิกุล, ดร.ประพงษ์ คล้ายสุบรรณ์ และตนได้กระจกตัวอย่างมา 2 ชุดจากสำนักพระราชวัง โดยการขอพระราชทานจากสมเด็จพระเทพฯ
ชุดที่หนึ่งเป็นกระจกที่ใช้ประดับเสาหางของพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระอุโบสถที่มีพระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ เป็นส่วนหนึ่งที่หลุดลงมา ซึ่งทางสำนักพระราชวังได้เก็บรักษาไว้ และนำมาให้ทางทีมวิจัย ส่วนชุดที่สองเป็นตัวอย่างที่ได้มาจากกระจกที่ใช้ตกแต่งฐานของพระบรมรูปรัชกาลที่ 1, รัชกาลที่ 2, รัชกาลที่ 3 ในปราสาทพระเทพบิดร
คณะนักวิจัยได้วิเคราะห์องค์ประกอบของกระจก โดยใช้แสงซินโครตรอนตรวจสอบด้วยเทคนิคการเรืองแสงในย่านพลังงานรังสีเอ็กซ์ว่ากระจกแต่ละสีประกอบด้วยธาตุชนิดใดบ้าง และมีปริมาณเท่าไร นอกจากนี้ยังได้ศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับโครงสร้างอะตอมของธาตุ องค์ประกอบเหล่านั้นว่าเรียงตัวกันแบบใด ซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่สำคัญเกี่ยวข้องกับการเกิดสีแต่ละสีในเนื้อแก้วของกระจก
ล่าสุด ทีมงานวิจัยประสบความสำเร็จได้สูตรการทำกระจกเกรียบต้นแบบมาเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการศึกษา ทดลองเผา ทดลองหลอมแก้ว และวิเคราะห์สี เพราะจุดตั้งต้นที่ใช้จากการเผามีบางส่วนที่ระเหิดไปจากกระบวนการหลอมแก้ว ได้สีไม่ตรงกับของดั้งเดิม ต้องมาศึกษาอย่างละเอียดอีกทีว่ามีธาตุอะไรที่หายไปบ้าง และปรับสัดส่วนของธาตุให้เข้าสูตร
สุดท้ายเราได้สีที่เหมือนกับของดั้งเดิม เรารู้องค์ประกอบของกระจกที่มีอายุกว่า 150 ปีแล้ว แต่ระหว่างกระบวนการใช้งานจากปีที่ 1 ถึงปีที่ 150 นั้น กระจกนี้ผ่านการกัดกร่อนทางธรรมชาติ องค์ประกอบบางส่วนอาจหายไป เพราะฉะนั้นสูตรที่เราได้จากการวิเคราะห์ แม้จะไม่สมบูรณ์เหมือนกระจกโบราณเมื่อ 150 ปีก่อน แต่ยืนยันได้ว่าจะมีความใกล้เคียงมากที่สุด
“สำหรับงานวิจัยชิ้นนี้ถือเป็นผลงานชิ้นแรกและชิ้นสำคัญของสถาบันแสงซินโครตรอน ที่ต้องการฟื้นฟูมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศไทย” ดร.วันทนากล่าว