ตราดผนึกภาคเอกชน เตรียมจัด “ประติมากรรมใต้ทะเลไทย เฉลิมพระเกียรติ”

ศูนย์ข่าวศรีราชา - จังหวัดตราดร่วมกับภาคเอกชน เตรียมจัด “ประติมากรรมใต้ทะเลไทย เฉลิมพระเกียรติ” โดยการสร้างบ้านปลา รูปแบบงานศิลป์ ประติมากรรมช้างที่สวยงาม โดยมีศิลปินแห่งชาติ อังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนช้างมงคลต้นแบบ

นายธิราช รุ่งเรืองกนกกุล ฝ่ายเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ศิลปะไทย โครงการประติมากรรมใต้ทะเลไทย เฉลิมพระเกียรติ จังหวัดตราด เผยว่า โครงการดังกล่าวเป็นการสร้างบ้านปลาในรูปแบบงานศิลป์ ประติมากรรมช้างที่สวยงาม โดยมีศิลปินแห่งชาติ อาจารย์อังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนช้างมงคลต้นแบบ อาจารย์แหลมสิงห์ ดิษฐพันธุ์ เป็นหัวหน้าคณะประติมากร โดยประติมากรรมช้างสร้างด้วยวัสดุคอนกรีตชนิดพิเศษเสริมเหล็ก ซึ่งปะการังสามารถเติบโตได้ดี มีอายุการใช้งานมากกว่า 50 ปี

โครงการดังกล่าว จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ พร้อมทั้งน้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงรับสั่งว่า “ธรรมชาติ และทรัพยากรธรรมชาติ ถูกออกแบบมาให้เอื้อต่อกัน มนุษย์ทำเพียงแค่มาบริหารจัดการเท่านั้น” เพื่อตามรอยพระบาท โดยส่วนราชการจังหวัดตราด ร่วมกับภาคเอกชน และประชาชนชาวจังหวัดตราด ได้ร่วมกันจัดทำโครงการประติมากรรมใต้ทะเลไทย เฉลิมพระเกียรติ จังหวัดตราดขึ้น เพื่อสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ ธรรมชาติ และลดปัญหาความเสื่อโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะปะการัง

โดยได้จัดทำเป็นศิลปะรูปช้าง เพื่อให้เป็นบ้านปลาที่สวยงาม พร้อมทั้งเป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับช้างไทยในรูปแบบต่างๆ โดยใช้ช้างไทยแทนสัญญาธรรมชาติ พร้อมทั้งยังเป็นสิ่งที่สวยงามแปลกตา สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทางทะเล และเป็นการลดความเสียหายของปะการังจากนักท่องเที่ยว รวมทั้งยังช่วยให้ทำให้ปะการังธรรมชาติได้ฟื้นตัว โดยใช้วัสดุที่ช่วยให้เกิดปะการังได้ง่าย

นายธิราช กล่าวต่อว่า โครงการดังกล่าว ได้มีการจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑ์จังหวัดตราด ในระหว่างวันที่ 9 สิงหาคมถึง 20 กันยายน 2555 หลังจากนั้น จะนำไปจัดแสดงใต้ทะเลเกาะหมาก บริเวณอ่าวไอยรา ลึก 8 เมตร โดยทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของจังหวัดตราด ประมงจังหวัด ทหารเรือ และกรมศิลปากร ช่วยกันศึกษาเพื่อกำหนดจุดที่เหมาะสม เป็นพื้นที่ไม่มีปะการังอยู่ และไม่กีดขวางทางเดินเรือ หรือไปมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนทิศทางของกระแสน้ำ

พร้อมกันนี้ บนฝั่งก็ได้มีการจัดแสดงนิทรรศการ ให้ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ และช้างไทย โดยได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน และหน่วยงานราชการในการดำเนินโครงการดังกล่าว ด้วยงบประมาณกว่า 10 ล้านบาท