อุบลราชธานี - นักวิชาการแนะรัฐบาลกล้าหาญนำน้ำมันดิบที่ผลิตได้ในประเทศกลั่นใช้เองไม่ต้องไปผูกติดกับราคาน้ำมันในต่างประเทศจะแก้ปัญหาสินค้าแพงได้อย่างเด็ดขาด จวกปัจจุบันนักการเมืองเลือกยืนข้างกลุ่มทุนมากกว่าประชาชน ทำให้ขึ้นราคาสินค้าเอาเปรียบผู้บริโภคได้สบายใจ ย้ำจากการออกแบบสอบถามผู้บริโภคระบุ “ของแพงจริง” ไม่ใช่รู้สึกไปเอง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศูนย์อาหารโรงแรมสุนีย์แกรนด์ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี สื่อสร้างสุขจังหวัดอุบลราชธานี จัดเวทีเสวนา “ของแพงชัวร์ หรือมั่วนิ่ม” โดยเชิญ ดร.ธรรมวิมล สุขเสริม อาจารย์คณะบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี นายวีรศักดิ์ เรืองสมานวงษ์ หัวหน้าสำนักงานการค้าภายในจังหวัดอุบลราชธานี ผศ.วิรัช ทองเรือง ประธานสมาคมเพื่อนผู้บริโภค และนางประเทือง พุ่มหิรัญ เจ้าของร้านขายข้าวแกงเกียรติ อ.เมือง เข้าร่วมแสดงความเห็น มีนายสุชัย เจริญมุขยนันท์ เป็นผู้ดำเนินรายการ
ดร.ธรรมวิมล สุขเสริม อาจารย์คณะบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี กล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ผูกติดกับราคาน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อน้ำมันเชื้อเพลิงมีราคาแพงขึ้นจึงมีผลกระทบต่อผู้บริโภค เพราะน้ำมันเป็นต้นทุนของสินค้าเกือบทุกชนิดถึง 50% โดยคิดตั้งแต่ต้นทางคือโรงงานผู้ผลิตสินค้า พ่อค้าคนกลาง จนถึงผู้ค้ารายเล็ก รายย่อย การจะช่วยลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชนในช่วงที่น้ำมันมีราคาแพงมีทางเดียวคือ รัฐบาลต้องเข้ามาพยุงราคาน้ำมัน
“แม้ต้นทุนราคาน้ำมันจะเป็นไปตามกลไกการตลาดโลก ถ้ารัฐบาลบริหารดีก็สามารถช่วยลดภาระให้ประชาชนได้” ประการสำคัญอีกอย่างคือ ปัจจุบันประเทศไทยมีการผลิตน้ำมันดิบ ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีอยู่ในประเทศวันหนึ่งจำนวนมาก แต่รัฐบาลกลับนำน้ำมันดิบไปผูกติดกับราคาตลาดน้ำมันโลก จึงเพิ่มต้นทุน เพราะส่งออกแล้วนำกลับเข้ามาใช้ใหม่ ทำให้ราคาน้ำมันในประเทศสูงตามไปด้วย
“แต่หากนำน้ำมันดิบที่ผลิตได้ในประเทศมากลั่นใช้ในประเทศโดยตรง ราคาน้ำมันถูกลงแน่นอน สาเหตุที่รัฐบาลต้องส่งน้ำมันดิบออกไปก่อนนำกลับเข้ามาใช้ มีข้ออ้างว่าจำเป็นต้องอยู่ในสังคมโลก จึงต้องการให้รัฐบาลมีความกล้าหาญ แล้วราคาน้ำมันในประเทศจะถูกลงเอง”
ด้านนายวีรศักดิ์ เรืองสมานวงษ์ หัวหน้าสำนักงานการค้าภายในจังหวัดอุบลราชธานี ระบุว่า ปัจจุบันรัฐบาลพยายามช่วยลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชน โดยมีการจัดโครงการร้านข้าวแกงราคาถูก 25-30 บาท ประโยชน์ร้านข้าวแกงที่เข้าร่วมโครงการ จะได้รับอุปกรณ์เครื่องใช้บางอย่างจากกรมการค้าภายในที่จัดหามาให้ช่วยลดต้นทุน เช่น ถุงพลาสติกใช้ใส่อาหาร เครื่องครัว และทำการประชาสัมพันธ์ชื่อร้านที่เข้าร่วมโครงการให้ฟรี
นอกจากนี้ยังมีร้านโชวห่วยราคาถูก ซึ่งจะจัดตั้งขึ้นครอบคลุมทั้งจังหวัดจำนวน 329 ร้านเหมือนร้านธงฟ้าที่ขายสินค้าราคาถูก และมีอีกหลายโครงการที่รัฐบาลกำลังดำเนินการเพื่อช่วยลดค่าครองชีพ รวมทั้งการสำรวจราคาสินค้าตามท้องตลาด หากพบความผิดปกติเจ้าหน้าที่จะออกสุ่มตรวจ และถ้าพบความผิดจะเข้าดำเนินการต่อร้านค้าที่ฉวยโอกาสขึ้นราคาทันที
นายวีรศักดิ์กล่าวถึงราคาเนื้อหมูที่วางจำหน่ายในตลาดของจังหวัดขณะนี้ ซึ่งหมูเนื้อแดง และเนื้อสันมีราคาเฉลี่ย 125-135 บาท ถือว่าเป็นปกติตามราคาแนะนำของกระทรวงพาณิชย์ไม่ได้แพงแต่อย่างใด ส่วนที่ร้านธงฟ้าจำหน่ายเนื้อหมูในกลุ่มนี้เพียง 110-120 บาท ถือเป็นการช่วยเหลือประชาชน ไม่ได้เอากำไร ทำให้ขายในราคาดังกล่าวได้
ขณะที่นางประเทือง พุ่มหิรัญ เจ้าของร้านข้าวแกงเกียรติยืนยันว่า ร้านได้เข้าร่วมกับโครงการธงฟ้า และมีการขายข้าวแกงในราคาควบคุมจริง และสามารถทำได้ เพราะวัตถุดิบบางชนิดที่ราคาแพงมากไม่ได้ซื้อมาใช้ประกอบเป็นอาหาร และถ้าผู้บริโภครู้จักเลือกซื้อข้าวของ ก็จะได้สินค้าราคาถูกกว่าปกติ
ส่วน ผศ.วิรัช ทองเรือง ประธานสมาคมเพื่อนผู้บริโภค กล่าวว่า ของแพงรัฐบาลไหนก็แก้ไม่ได้ เพราะปัจจุบันนักการเมืองไม่เหมือนนักการเมืองในอดีตที่ร่วมต่อสู้กับประชาชน แต่นักการเมืองปัจจุบันวิ่งเข้าหากลุ่มทุนใหญ่ เมื่อกลุ่มทุนที่ให้การสนับสนุนนักการเมืองขึ้นราคาสินค้า นักการเมืองก็ไม่กล้าเข้าไปจัดการ เพราะได้รับเงินบริจาคมาใช้ลงสมัครรับเลือกตั้ง “นักการเมืองวันนี้จึงไปยืนอยู่ข้างนายทุน แทนประชาชน”
ส่วนร้านขายข้าวแกง ถ้าต้องการราคา 20-30 บาทก็จะเห็นแต่วิญญาณหมู วิญญาณไก่ ก๋วยเตี๋ยวก็มีแต่เส้นเพราะต้องลดปริมาณ ถ้าจะกินให้ได้ครบถ้วนเหมือนในอดีต ความเป็นจริงคือต้องจ่าย 30-40 บาท เหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมดเพราะผู้บริโภคเสียงไม่ดัง ไม่มีความเข้มแข็ง น้ำมันแพงก็เพราะภาษีที่รัฐบาลเก็บซ้ำซ้อน แต่หลายประเทศในกลุ่มอาเซียนน้ำมันถูก เพราะรัฐบาลบริหารเป็นและเอาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นที่ตั้ง
“การขึ้นค่าแรงไม่มีผลทำให้ประชาชนมีรายได้มากขึ้น เพราะราคาสินค้าขึ้นราคาไปรออยู่ก่อนหน้าแล้ว และสินค้าเมื่อขึ้นราคาแล้ว ไม่เห็นโอกาสที่จะลดราคาลงมาด้วย” จึงเป็นความล้มเหลวที่เกิดจากการบริหารงานของนักการเมืองปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน สื่อสร้างสุขอุบลราชธานีได้ทำแบบสอบถามประชาชนที่เข้ามานั่งรับประทานอาหาร และร่วมชมเวทีเสวนา โดยสอบถามถึงราคาสินค้าปัจจุบันแพงจริงหรือแกล้งมั่วนิ่ม ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ระบุว่า “แพงจริงๆ” ไม่ใช่รู้สึกไปเอง