สระแก้ว - BOI ให้ความรู้ผู้ประกอบการในพื้นที่ จ.ปราจีน-สระแก้ว เพื่อส่งเสริมการลงทุนให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน และแนวโน้มในอนาคต เผยล่าสุด 2 จังหวัด มีโครงการเกิดขึ้นกว่า 400 โครงการ มูลค่ากว่าแสนล้านบาท
วันนี้ (24 พ.ค.) ณ ห้องศรีอรัญ โรงแรมอินโดจีน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว นายสุวิชช์ ฉั่ววิเชียร ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 4 ประธานในพิธีการสัมมนาให้ความรู้เกี่ยวกับนโยบายส่งเสริมการลงทุน สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ โดยมี นายประมวล เขียวขำ เลขาธิการหอการค้าจังหวัดสระแก้ว นำผู้ประกอบการรายย่อย และสถาบันการเงินเข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้
นายสุวิชช์กล่าวว่า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการใช้สิทธิประโยชน์ภาษีอากร โดยให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบการที่มีผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ใช้หลักการบริหารและการจัดการองค์กรที่ดีในการให้สิทธิและประโยชน์ด้านการส่งเสริมการลงทุ(บีโอไอ) เล็งเห็นว่าวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศ จึงมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มาตั้งแต่ปี 36 โดยมีการปรับเปลี่ยนนโยบายให้เหมาะสมสอดคล้องกับภาวการณ์ทางเศรษฐกิจมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เอื้ออำนวยต่อการลงทุน
สำหรับผู้ประกอบการที่มีขนาดการลงทุนเพียง 500,000 บาทขึ้นไป ก็สามารถขอรับการส่งเสริมได้ โดยเฉพาะจังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดสระแก้ว ซึ่งมีผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพในการลงทุนอีกมาก ตั้งแต่ปี 2544 ถึงเดือนมีนาคม 55 จำนวน 452 โครงการ เงินลงทุนประมาณ 115,800 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นกิจการผลิตภัณฑ์โลหะ อุตสาหกรรมสิ่งทอ กระดาษ และพลาสติก
นายสุวิชช์กล่าวค่อไปว่า ขณะที่จังหวัดสระแก้วมีโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในช่วงเวลาเดียวกัน จำนวน 31 โครงการ เงินลงทุนประมาณ 36,140 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นกิจการทางด้านเกษตรกรรมและผลผลิตทางการเกษตร เช่น การผลิตเอทานอล ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ
ด้านนายประมวล เขียวขำ เลขาธิการหอการค้าจังหวัดสระแก้วกล่าวว่า สำหรับผู้เข้าร่วมสัมมนาประมาณ 60 ราย หัวหน้าส่วนราชการ ภาคเอกชนผู้ประกอบการทั้ง 2 จังหวัด เพื่อให้ได้รับความรู้เกี่ยวกับนโยบายส่งเสริมการลงทุน สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ โอกาสและลู่ทางการลงทุน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในพื้นที่ ต้องการดำเนินงานของโครงการที่ได้รับการส่งเสริม เพื่อให้สำนักงานได้ตรวจสอบก่อนใช้สิทธิและประโยชน์ สนับสนุนให้อุตสาหกรรมพัฒนาระบบคุณภาพ และมาตรฐานการผลิตเพื่อแข่งขันในตลาดโลก
ในการกำหนดให้ผู้ได้รับการส่งเสริมทุกรายที่มีโครงการลงทุนตั้งแต่ 5 แสนถึง 10 ล้านบาทขึ้นไป ปรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนให้สอดคล้องกับข้อตกลงด้านการค้า และการลงทุนระหว่างประเทศ สนับสนุนการลงทุนเป็นพิเศษในภูมิภาค หรือท้องถิ่นที่มีรายได้ต่ำ และมีสิ่งเอื้ออำนวยต่อการลงทุนน้อย โดยให้สิทธิและประโยชน์ด้านภาษีอากรสูงสุด ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดกลาง และขนาดย่อม โดยกำหนดเงื่อนไขเงินลงทุนขั้นต่ำของโครงการที่ได้รับการส่งเสริมเพียง 500,000 บาท ให้ความสำคัญแก่กิจการเกษตรกรรมและผลิตผลจากการเกษตร กิจการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีและทรัพยากรมนุษย์ กิจการสาธารณูปโภค สาธารณูปการ และบริการพื้นฐาน กิจการป้องกันและรักษาสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรมเป้าหมาย
หลักเกณฑ์การอนุมัติโครงการ ในการพิจารณาความเหมาะสมของโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุน คณะกรรมการมีแนวทางการพิจารณา ดังนี้ พิจารณาอนุมัติโครงการที่ขอรับการส่งเสริมจะพิจารณาจากหลักเกณฑ์ดังนี้ จะต้องมีมูลค่าเพิ่มไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของรายได้ ยกเว้นการผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน กิจการเกษตรกรรมและผลิตผลจากการเกษตร และโครงการที่คณะกรรมการให้ความเห็นชอบเป็นกรณีพิเศษ
วันนี้ (24 พ.ค.) ณ ห้องศรีอรัญ โรงแรมอินโดจีน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว นายสุวิชช์ ฉั่ววิเชียร ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 4 ประธานในพิธีการสัมมนาให้ความรู้เกี่ยวกับนโยบายส่งเสริมการลงทุน สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ โดยมี นายประมวล เขียวขำ เลขาธิการหอการค้าจังหวัดสระแก้ว นำผู้ประกอบการรายย่อย และสถาบันการเงินเข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้
นายสุวิชช์กล่าวว่า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการใช้สิทธิประโยชน์ภาษีอากร โดยให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบการที่มีผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ใช้หลักการบริหารและการจัดการองค์กรที่ดีในการให้สิทธิและประโยชน์ด้านการส่งเสริมการลงทุ(บีโอไอ) เล็งเห็นว่าวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศ จึงมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มาตั้งแต่ปี 36 โดยมีการปรับเปลี่ยนนโยบายให้เหมาะสมสอดคล้องกับภาวการณ์ทางเศรษฐกิจมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เอื้ออำนวยต่อการลงทุน
สำหรับผู้ประกอบการที่มีขนาดการลงทุนเพียง 500,000 บาทขึ้นไป ก็สามารถขอรับการส่งเสริมได้ โดยเฉพาะจังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดสระแก้ว ซึ่งมีผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพในการลงทุนอีกมาก ตั้งแต่ปี 2544 ถึงเดือนมีนาคม 55 จำนวน 452 โครงการ เงินลงทุนประมาณ 115,800 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นกิจการผลิตภัณฑ์โลหะ อุตสาหกรรมสิ่งทอ กระดาษ และพลาสติก
นายสุวิชช์กล่าวค่อไปว่า ขณะที่จังหวัดสระแก้วมีโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในช่วงเวลาเดียวกัน จำนวน 31 โครงการ เงินลงทุนประมาณ 36,140 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นกิจการทางด้านเกษตรกรรมและผลผลิตทางการเกษตร เช่น การผลิตเอทานอล ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ
ด้านนายประมวล เขียวขำ เลขาธิการหอการค้าจังหวัดสระแก้วกล่าวว่า สำหรับผู้เข้าร่วมสัมมนาประมาณ 60 ราย หัวหน้าส่วนราชการ ภาคเอกชนผู้ประกอบการทั้ง 2 จังหวัด เพื่อให้ได้รับความรู้เกี่ยวกับนโยบายส่งเสริมการลงทุน สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ โอกาสและลู่ทางการลงทุน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในพื้นที่ ต้องการดำเนินงานของโครงการที่ได้รับการส่งเสริม เพื่อให้สำนักงานได้ตรวจสอบก่อนใช้สิทธิและประโยชน์ สนับสนุนให้อุตสาหกรรมพัฒนาระบบคุณภาพ และมาตรฐานการผลิตเพื่อแข่งขันในตลาดโลก
ในการกำหนดให้ผู้ได้รับการส่งเสริมทุกรายที่มีโครงการลงทุนตั้งแต่ 5 แสนถึง 10 ล้านบาทขึ้นไป ปรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนให้สอดคล้องกับข้อตกลงด้านการค้า และการลงทุนระหว่างประเทศ สนับสนุนการลงทุนเป็นพิเศษในภูมิภาค หรือท้องถิ่นที่มีรายได้ต่ำ และมีสิ่งเอื้ออำนวยต่อการลงทุนน้อย โดยให้สิทธิและประโยชน์ด้านภาษีอากรสูงสุด ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดกลาง และขนาดย่อม โดยกำหนดเงื่อนไขเงินลงทุนขั้นต่ำของโครงการที่ได้รับการส่งเสริมเพียง 500,000 บาท ให้ความสำคัญแก่กิจการเกษตรกรรมและผลิตผลจากการเกษตร กิจการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีและทรัพยากรมนุษย์ กิจการสาธารณูปโภค สาธารณูปการ และบริการพื้นฐาน กิจการป้องกันและรักษาสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรมเป้าหมาย
หลักเกณฑ์การอนุมัติโครงการ ในการพิจารณาความเหมาะสมของโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุน คณะกรรมการมีแนวทางการพิจารณา ดังนี้ พิจารณาอนุมัติโครงการที่ขอรับการส่งเสริมจะพิจารณาจากหลักเกณฑ์ดังนี้ จะต้องมีมูลค่าเพิ่มไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของรายได้ ยกเว้นการผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน กิจการเกษตรกรรมและผลิตผลจากการเกษตร และโครงการที่คณะกรรมการให้ความเห็นชอบเป็นกรณีพิเศษ
