ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - “โฆษก ทภ.2” ซัดเขมรแสบละเมิดอนุสัญญาทุ่นระเบิดสังหารบุคคล “ออตตาวา” ลอบวางบึ้มในเขตแดนไทยใกล้ “เขาพระวิหาร” ทำทหารไทยบาดเจ็บสาหัส ล่าสุด “ส.อ.ชาตรี” แพทย์ต้องตัดขาทั้งสองข้าง เผยผลตรวจสอบพบเป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแบบปิ่นโต มุ่งทำร้ายทหารไทยชุดลาดตระเวนชัดเจน ขณะ “ผบ.ทบ.” และ “มทภ. 2” สั่งคุมเข้มชายแดน กำชับกำลังพลเพิ่มความระมัดระวัง ยังไม่พบเขมรเคลื่อนไหวกำลังพล
วันนี้ (4 พ.ค.) ที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์ และศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) อ.เมือง จ.นครราชสีมา พ.อ.ประวิทย์ หูแก้ว รองเสนาธิการกองทัพภาคที่ 2 ในฐานะโฆษกกองทัพภาคที่ 2 เปิดแถลงข่าวกรณีทหารชุดลาดตระเวนของไทยเหยียบกับระเบิดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ห่างจากปราสาทพระวิหาร ไปทางทิศตะวันตก 6 กิโลเมตร (กม.) อยู่ในเขตแดนไทย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ได้รับบาดเจ็บสาหัสขาขาด เมื่อคืนวันที่ 2 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า ล่าสุดอาการของ ส.อ.ชาตรี แก้วประสาน หัวหน้าชุดลาดตระเวน กองกำลังสุรนารี (กกล.สุรนารี) กองทัพภาคที่ 2 ยังต้องอยู่ในความดูแลของคณะแพทย์ โรงพยาบาลค่ายสรรพประสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี อย่างใกล้ชิด
และเป็นที่น่าเสียใจว่า ขณะนี้ ส.อ.ชาตรีต้องถูกตัดขาข้างซ้ายอีกหนึ่งข้างหลังจากครั้งแรกแพทย์ได้ตัดขาข้างขวาไปแล้ว ซึ่งเหตุเหยียบกับระเบิดครั้งนี้จึงทำให้ ส.อ.ชาตรีต้องสูญเสียขาไปทั้งสองข้าง และยังมีบาดแผลที่บริเวณท้องและตา อาการโดยทั่วไปตอบสนอง รู้สึกตัวดี มีสติ แต่ยังไม่สามารถพูดคุยได้ คาดว่ากับระเบิดที่ ส.อ.ชาตรีเหยียบน่าจะเป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
พ.อ.ประวิทย์กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบจุดเกิดเหตุโดยละเอียดบริเวณโดยรอบเป็นลานหินอยู่ในเขตแดนไทยอย่างชัดเจน และโดยปกติกำลังพลของไทยจะใช้เป็นเส้นทางลาดตระเวนอยู่เป็นประจำ ซึ่งทุ่นระเบิดสังหารบุคคลนี้คาดว่าคนร้ายจะลักลอบเข้ามาวางในช่วงเวลากลางคืนและมีเจตนาสังหารหรือทำร้ายทหารชุดปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนของฝ่ายไทย เนื่องจากขณะนี้ไทยเข้มงวดกวดขันการปราบปรามกลุ่มผู้เข้ามาลักลอบตัดไม้ทำลายป่าชายแดนในเขตฝั่งไทยโดยเฉพาะไม้พะยูง ซึ่งการลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดชนิดสังหารบุคคลตามเส้นทางที่ทหารไทยเคยออกไปลาดตระเวนหรือปฏิบัติงานเป็นประจำนั้น ถือเป็นการละเมิดหรือไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามมี ใช้ สะสม ผลิต และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือ “สัญญาออตตาวา” ซึ่งได้ทำไว้ที่เมืองออตตาวา ประเทศแคนาดา ปี 2540
ตรงนี้แสดงว่า ฝ่ายตรงข้ามโดยเฉพาะกลุ่มลักลอบตัดไม้ทำลายป่าชาวกัมพูชา ซึ่งมีหลายครั้งที่เราสามารถจับกุมได้และตรวจพบว่าเป็นของทหารกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นอาวุธปืน ลูกกระสุน ปลอกกระสุน หรือเครื่องแบบทหาร และบางครั้งสามารถตรวจยึดบัตรประจำตัวของทหารกัมพูชาได้นั้น เป็นการละเมิดสัญญาออตตาวาอย่างชัดเจน
“ฉะนั้น การปฏิบัติการดังกล่าวของฝ่ายกัมพูชาถือเป็นการละเมิดไม่ปฏิบัติตามสัญญาออตตาวา และจงใจที่จะทำร้ายทหารชุดลาดตระเวนของไทย สาเหตุคาดว่ามาจากการเข้มงวดในการปฏิบัติงานของชุดกองร้อย 1632 ในการปราบปรามผู้ลักลอบตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งเกิดความโกรธแค้นจึงมาแก้แค้นเรา และเข้ามาเพื่อขัดขวางการปฏิบัติงานของเราที่เข้มงวดและเพื่อให้เราปฏิบัติงานยุ่งยากมากยิ่งขึ้น” พ.อ.ประวิทย์กล่าว
พ.อ.ประวิทย์กล่าวอีกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทาง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และ พล.ท.จีระศักดิ์ ชมประสพ แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) ได้สั่งการให้กำลังพลปฏิบัติงานกันอย่างเต็มที่ต่อไป และให้เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่าความสัมพันธ์ทางทหารของไทยกับฝ่ายกัมพูชา โดยเฉพาะผู้บังคับหน่วยในพื้นที่ยังดีอยู่ เพราะเราแยกปัญหาต่างๆ ออกจากกัน คือ งานในหน้าที่รักษาอธิปไตยของประเทศและรักษาผลประโยชน์ของชาติเป็นภาระหน้าที่ของทหาร รวมทั้งการดูแลความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างฝ่ายก็ต่างดูแลพื้นที่ของตัวเอง ทุกคนเคารพในกฎหมายระหว่างประเทศ หากกำลังพลของเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการผิดกฎหมายต่างๆ ทางกองทัพไทยจะลงโทษอย่างหนักทั้งด้านวินัย และอาญา
ต่อข้อถามว่าทุ่นระเบิดที่วางใหม่นี้เป็นฝีมือของทหารกัมพูชาใช่หรือไม่ พ.อ.ประวิทย์กล่าวว่า จากการตรวจสอบเชื่อว่าคนร้ายที่นำระเบิดมาวางต้องเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญมาก และทุ่นกับระเบิดสังหารบุคคลนี้เราเรียกว่า ทุ่นระเบิดสังหารแบบปิ่นโต เมื่อเหยียบเข้าไปจะดีดตัวสูงทำให้กำลังพลเราบาดเจ็บสาหัสต้องถูกตัดขาทั้งสองข้าง อย่างไรก็ตาม แม้จะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นแต่ขวัญกำลังใจทหารไทยยังดีเหมือนเดิมไม่มีปัญหา ทุกนายพร้อมปกป้องอธิปไตยและดูแลผลประโยชน์ของชาติตลอดเวลา
ส่วนปัญหาจะบานปลายกลายเป็นชนวนขัดแย้งจนเกิดการสู้รบกันขึ้นตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาอีกหรือไม่นั้น พ.อ.ประวิทย์กล่าวว่า เราระมัดระวังอยู่แล้ว และต่างคนต่างก็รักษาพื้นที่ของตัวเอง ส่วนการเพิ่มกำลังทหารตามแนวชายแดนนั้นยืนยันว่ายังไม่มีการเคลื่อนไหวกำลังใดๆ ทั้งสิ้นเพราะไม่จำเป็น กำลังทหารของไทยในพื้นที่ชายแดนสามารถดูแลอธิปไตยและรักษาผลประโยชน์ของชาติได้อย่างดีที่สุดอยู่แล้ว
“สำหรับการเคลื่อนไหวกำลังพลของฝ่ายกัมพูชานั้น จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่พบมีการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด ทหารทั้งสองฝ่ายยังคงมีการพบปะพูดคุยกันตามปกติ” พ.อ.ประวิทย์กล่าว