ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ผู้ตรวจราชการ กระทรวงสาธารณสุขแจงความคืบหน้าซูโดฯ รพ.ดอยหล่อ-ฮอด เผยที่แรกรอผู้เกี่ยวข้องชี้แจง ส่วนที่หลังต้องนัดใหม่หลังดีเอสไอเชิญตัวสอบ ระบุผู้ถูกกล่าวหามีเวลาหาหลักฐานพิสูจน์ตัวตามระเบียบ-หากไม่เคลียร์โดนลงโทษแน่ ชี้ยาหาย-แอบสั่งยาอาจมาจากหวังขายทำกำไรส่วนต่างราคา
วันนี้ (3 พ.ค.) นายแพทย์วิศิษฏ์ ตั้งนภากร ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขต 15 เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจสอบคดียาซูโดอีเฟดรีนที่โรงพยาบาลดอยหล่อ และโรงพยาบาลฮอด จ.เชียงใหม่ว่า จากการสอบสวนพบว่าเภสัชกรจากทั้งสองโรงพยาบาลอาจมีความผิดทางวินัยจากกรณีดังกล่าว ทั้งจากการแอบอ้างใช้ชื่อของโรงพยาบาลในการสั่งซื้อยา รวมทั้งการที่มียาหายไปจากคลังของโรงพยาบาล
โดยกรณีของโรงพยาบาลดอยหล่อ จากผลการตรวจสอบของคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงซึ่งแต่งตั้งโดยจังหวัดเชียงใหม่พบว่า จากเดิมที่คาดว่าผู้อำนวยการโรงพยาบาลอาจมีความผิดวินัยร้ายแรงนั้น ปรากฏว่าจากการสืบสวนแล้วยังไม่พบความผิดร้ายแรงแต่อย่างใด คงมีเพียงเภสัชกรเท่านั้นที่มีความผิดร้ายแรง ซึ่งคณะกรรมการกำลังรวบรวมข้อมูล ก่อนจะจัดทำบันทึกการแจ้งและรับทราบข้อกล่าวหา และสรุปพยานหลักฐาน (สว.3) เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหาได้นำข้อมูล พยานหลักฐานหรือพยานบุคคลมาชี้แจงต่อไป
ส่วนกรณีของโรงพยาบาลฮอดนั้น พบว่ามีผู้ที่เข้าข่ายอาจมีความผิดหลายราย ได้แก่ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล เภสัชกร และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลซึ่งดูแลรับผิดชอบการเบิกจ่ายและควบคุมคลังยา ซึ่งปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้แต่งตั้งให้ตนเองเป็นประธานสอบทางวินัย โดยในเบื้องต้นคณะกรรมการสืบสวนของจังหวัดได้แจ้งว่า พบว่าผู้อำนวยการมีความผิดในระดับไม่ร้ายแรง ส่วนเภสัชกรและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องนั้นมีความผิดขั้นร้ายแรง และได้มีการแจ้งข้อหาให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบเพื่อให้ดำเนินการชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว
นายแพทย์วิศิษฏ์กล่าวต่อไปว่า ตามกำหนดการเดิมในวันนี้จะมีการสรุปข้อมูลต่างๆ หลังที่ได้ให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ดำเนินการชี้แจงไปแล้ว แต่เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาต้องเข้าให้ปากคำต่อทางดีเอสไอในวันพรุ่งนี้ จึงต้องเลื่อนการพิจารณาออกไปก่อน อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการสอบทางวินัยได้ประสานไปยังโรงพยาบาลต้นสังกัด รวมทั้งจะแจ้งผู้ถูกกล่าวหาให้ส่งข้อมูลหรือเอกสารเพิ่มเติม เนื่องจากข้อมูลที่ได้รับพบว่าบางส่วนยังไม่มีความชัดเจน
ทั้งนี้ ในกรณีของโรงพยาบาลดอยหล่อนั้น หากพบว่ามีการกระทำผิดตามข้อกล่าวหาก็จะเสนอเรื่องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดใช้อำนาจลงโทษตามระเบียบของทางราชการ ส่วนกรณีที่โรงพยาบาลฮอดนั้นจะนำเรื่องเสนอให้ปลัดกระทรวงเป็นผู้ดำเนินการต่อไป โดยทั้งสองกรณีจะต้องรอให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงตามขั้นตอนก่อน ซึ่งตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องดำเนินการให้เสร็จภายใน 2-3 เดือนนับจากวันที่มีคำสั่งแต่งตั้ง
นายแพทย์วิศิษฏ์ระบุว่า จากการสอบสวนกรณีของโรงพยาบาลทั้ง 2 แห่ง พบว่าผู้อำนวยการของโรงพยาบาลมีความผิดฐานเป็นผู้ลงนามในการจัดซื้อยาซูโดอีเฟดรีน แต่ในกระบวนการจัดซื้อยานั้นพบว่าเป็นอำนาจในการตัดสินใจของเภสัชกร ทำให้โทษที่อาจได้รับยังอยู่ในขั้นไม่ร้ายแรง ขณะเดียวกัน ที่โรงพยาบาลฮอดยังพบด้วยว่าขั้นตอนในการสั่งซื้อยาจะไม่พบความผิดปกติ แต่กลับมียาหายไปจากคลังยาของโรงพยาบาล ซึ่งทำให้พนักงานที่ดูแลรับผิดชอบมีความผิด รวมทั้งต้องพิจารณาถึงระบบการบริหารจัดการยา ทั้งการไม่นำยาเข้าระบบ หรือการลักลอบนำยาออกจากระบบด้วยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขต 15 กล่าวด้วยว่า ประเด็นของการลงโทษทางวินัยนั้นหากพบว่ามีความผิดจริงก็จะลงโทษกันตามระเบียบ แต่ประเด็นที่คาดว่าจะเป็นที่สนใจมากกว่าคือยาซูโดอีเฟดรีนทั้งที่ถูกสั่งมาและที่หายไปจากคลังยานั้นถูกส่งไปไหน โดยที่โรงพยาบาลดอยหล่อมีตัวเลขคลาดเคลื่อนอยู่ที่ 70,000 เม็ด ขณะที่โรงพยาบาลฮอดมี 50,000 เม็ด ซึ่งหากพิจารณาจากปริมาณยาที่หายไปจะพบว่าไม่สูงมากนัก
จึงมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะไม่ใช่การลักลอบขายยาให้ผู้ผลิตยาเสพติดโดยตรง แต่อาจเป็นการแสวงหากำไรจากส่วนต่างของราคายาของผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยมีกลุ่มผู้ที่ทำการรวบรวมยาส่งให้ผู้ผลิตยาเสพติดอาศัยโอกาสดังกล่าวในการรวบรวมยาซูโดอีเฟดรีน อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวจำเป็นจะต้องมีการติดตามสืบหาข้อเท็จจริงอย่างละเอียด โดยถือเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือดีเอสไอที่จะดำเนินการต่อไป