xs
xsm
sm
md
lg

" ชนะ รักทองสุข" กับอาณาจักร " จันทร์เพ็ญแก๊ส "

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เสี่ยอู๋ วันนี้แม้จะมีอายุขึ้นเลข 8 แต่ยังแข็งแรงและบริหารงานอาณาจักรจันทร์เพ็ญแก๊ส
การขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งภาคการลงทุน ท่องเที่ยวและการขนส่งในพื้นที่ภาคตะวันออก ที่มีมานานกว่า 20 ปี โดยเฉพาะจังหวัดชลบุรี ที่มีทั้งนิคมอุตสาหกรรม แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และการลงทุนทางเศรษฐกิจในทุกรูปแบบ ไม่เพียงแต่จะก่อให้เกิดการย้ายเข้ามาของแรงงานต่างถิ่นทั้งในและต่างประเทศเท่านั้น แต่ยังเกิดรูปแบบของการลงทุนใหม่ๆ เพื่อรองรับวิถีชีวิตคนเมืองของคนในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น

ที่เห็นได้อย่างชัดเจน ก็คือปริมาณรถยนต์ที่เพิ่มมากขึ้นบนท้องถนน เหตุผลหลักก็คือรองรับความสะดวกสบายของคนยุคใหม่ ผลักดันให้เจ้าของผู้ผลิตและผู้จำหน่ายน้ำมันรายใหญ่หลายแบรนด์ แห่กว้านซื้อที่ดินเพื่อขยายพื้นที่ปั๊ม รองรับความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มมากขึ้น

การขยายพื้นที่ให้บริการของผู้จำหน่ายน้ำมันต่างๆ เหล่านี้ ย่อมหนีไม่ผลภาวะการแข่งขันที่รุนแรง และดูเหมือนว่าผู้จำหน่ายน้ำมันที่มีตัวแทนจำหน่ายเป็นคนในพื้นที่จะมีความได้เปรียบในเรื่องการหาที่ดินที่เหมาะสม และตั้งอยู่ในทำเลที่มีรถยนต์วิ่งผ่าน รวมทั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับการมีดีลเลอร์ใหญ่อย่างกลุ่ม “จันทร์เพ็ญแก๊ส ” ของกลุ่ม ปตท.ในพื้นที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ที่ในวันนี้เป็นย่านเศรษฐกิจสำคัญของจังหวัด ทำให้ปั๊มน้ำมันและแก๊สอย่างน้อย 6 จุดในอำเภอศรีราชาของกลุ่ม ปตท.ล้วนอยู่ในทำเลที่น่าสนใจ

แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือการบุกเบิกสร้างอาณาจักร “จันทร์เพ็ญแก๊ส ” ให้เป็นที่รู้จักและยอมรับของบุคคลสำคัญอย่าง “เสี่ยอู๋” หรือคุณชนะ รักทองสุข ประธานกรรมการบริหาร บริษัทในเครือจันทร์เพ็ญ ที่ในวันนี้แม้จะอยู่ในวัย 83 ปีแต่ก็ยังคงกุมบังเหียนสำคัญของบริษัทในเครือที่ประกอบด้วย บริษัท จันทร์เพ็ญแก๊ส จำกัด (ปั๊ม ปตท.) บริษัท จันทร์เพ็ญปิโตรเลียม จำกัด ที่ทั้งมีปั๊มแก๊ส และปั๊มปิโตรเลียม ถึง 6 แห่งในอำเภอศรีราชาบริษัท จันทร์เพ็ญพัฒนาที่ดินและอาคาร จำกัด บริษัท จันทร์เพ็ญมินิมาร์ท จำกัด และบริษัท จันทร์เพ็ญออยล์ จำกัด
ผู้ชายคนนี้ ประสบความสำเร็จในชีวิต จากความมุมานะ ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา
เสี่ยอู๋ บอกเล่าถึงเส้นทางการทำงานของท่านว่า เริ่มต้นตั้งแต่อายุได้เพียง 17 - 18 ปี หลังตัดสินใจเดินทางจากบ้านเกิด-เมืองนอนในอำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด เข้ามาแสวงโชคในกรุงเทพมหานคร ด้วยการทำงานเป็นสมุห์บัญชีในโรงเลื่อยให้กับบิดาของคุณหญิงชนันต์ ปิยะอุย (ผู้บริหารโรงแรมดุสิตธานี) จนกระทั่งอายุได้ประมาณ 25 ปี โรงเลื่อยแห่งนี้มีอันต้องปิดตัวลง เพราะรัฐบาลไทยในสมัยนั้นห้ามนำไม้ยางส่งออกนอกประเทศ

ชีวิตครอบครัวของท่านที่เพิ่ง เริ่มต้นได้เพียง 1-2 ปี ก็มีอันต้องพลิกผัน จำต้องหันมาสร้างอาชีพใหม่ให้กับตนเองและครอบครัว และเพราะด้วยการได้ทำงานในโรงเลื่อยมานาน ทำให้เสี่ยอู๋ มีโอกาสได้รู้จักกับเจ้าของโรงเลื่อย หลายแห่งที่มีความต้องการไม้เพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ

ในครั้งนั้นท่านได้อาศัยประสบการณ์จากการทำงาน พลิกผันตัวเองมาเป็นผู้จัดหาไม้ในเขตตำบลกระทิงลาย อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ส่งขายให้กับโรงเลื่อยในกรุงเทพฯ โดยใช้ระบบสินเชื่อส่วนตัวซื้อไม้กระดานจากโรงเลื่อยพระยาดุล ส่งให้กับลูกค้าในกรุงเทพฯ

“ตอนนั้นการขนส่งไม้กระดานจากชลบุรี ไปยังโรงเลื่อยในกรุงเทพฯค่อนข้างลำบากมาก เพราะเราต้องเอาไม้ไปลงแพที่อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ขณะที่เดือนหนึ่งเราทำการค้าได้แค่ 3-4 คันรถ เพราะไม่มีรถที่จะขนส่ง ไม้ก็ไม่พอกับความต้องการ ทำอยู่ได้ไม่นานก็ต้องหยุดไปเพราะไม่มีทั้งเงินทุนและการขนส่งที่อยากลำบาก ประกอบกับในช่วงนั้นก็ได้มีโอกาสรู้จักกับเฒ่าแก่โรงเลื่อยไพรรัตน์ ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอศรีราชา ท่านก็เมตตาชวนไปทำงานด้วย ก็ดูแลทั้งในส่วนโรงเลื่อยและก็ดูแลทั้งธุรกิจซื้อ-ขายที่ดินให้กับเฒ่าแก่ ทำให้พอมีเงินขึ้นมาบ้าง ”
ธุรกิจแห่งความภาคภูมิใจ
หลังปักหลักทำงานในจังหวัดชลบุรี ภายใต้การชักนำของเฒ่าแก่โรงเลื่อยไม้ไพรรัตน์ ทำให้เสี่ยอู๋ เริ่มเป็นที่รู้จักในกลุ่มคนทำงานในพื้นที่อำเภอศรีราชามากขึ้น ประกอบกับฐานะทางการเงินที่เริ่มดีขึ้น ทำให้ท่านใช้เงินเก็บที่มีร่วมหุ้นกับญาติที่มีความรู้ด้านการทำคลอด เปิดคลินิกทำคลอดภายใต้ชื่อ “ศรีราชาคลินิก” ในอำเภอศรีราชา จนเป็นที่รู้จักและไว้ใจของคนในพื้นที่ แต่สุดท้ายท่านก็ได้ขายหุ้นคลินิกแห่งนี้ให้แก่ญาติ และนำเงินที่ได้มาเช่าตึกแถวในตลาดศรีราชา เพื่อเปิดธุรกิจรับจ้างทำบัญชี และเปิดร้านขายข้าวแกงควบคู่กันไปพร้อมๆ กับการทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างโรงงานในอำเภอสัตหีบ หลังทหารอเมริกันเข้ามาตั้งฐานทัพในอำเภอสัตหีบ

“การเปิดสำนักงานรับจ้างทำบัญชี ก็มาจากความรู้ที่ได้รับจากการทำงานเป็นสมุห์บัญชี ซึ่งการเป็นสมุห์บัญชีในสมัยนั้นต้องมีความรู้ภาษาจีน ซึ่งผมมีโอกาสได้เรียนหนังสือจีนที่ประเทศกัมพูชาเพราะมีญาติอยู่ที่นั้น และบ้านเกิดก็อยู่ที่อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด แรกๆ การทำงานค่อนข้างไปได้สวยและผมก็ค้ามันฯเส้นไปด้วย แต่เมื่อนานไปเงินเริ่มหมุนไม่ทัน ลูกค้าที่เรารับทำบัญชีให้ก็ถูกตรวจสอบจากหน่วยงานรัฐ ทำให้การทำงานลำบาก สุดท้ายก็ยกสำนักงานบัญชีให้กับเพื่อน และเราเหลือเพียงร้านอาหารที่ต้อนนั้นใช้ชื่อว่า ศรีราชาจันทร์เพ็ญ เพียงแห่งเดียว และก็หันมาทำงานรับเหมาเต็มตัว จนมีรายได้พอส่งลูกทั้ง 7 คนเรียนหนังสือ ”

กำเนิดอาณาจักร “จันทร์เพ็ญ ”

หลังได้ทดลองทำธุรกิจหลากหลายรูปแบบอยู่นาน สุดท้ายเสี่ยอู๋ ก็ตัดสินใจ กระโดดเข้าสู่ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเต็มตัว ทั้งการรับเหมาสร้างฐานโรงงาน อ๊อกถังน้ำมัน ฯลฯ ควบคู่ไปกับการทำร้านอาหารศรีราชาจันทร์เพ็ญ ซึ่งต่อมาภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นจันทร์เพ็ญโภชนา ทำให้ฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้นเรื่อยๆ และดียิ่งขึ้นเมื่อครั้งได้มีโอกาสทำความรู้จักกับ ผู้บริหารบริษัท ซัมมิท จำกัด ผู้ค้าน้ำมันปิโตรเลียมในสมัยนั้น และเป็นที่มาของแนว คิดในการก่อตั้งปั๊มแก๊สจันทร์เพ็ญในปัจจุบัน

“หลายคนสงสัยว่า ชื่อจันทร์เพ็ญ ที่เราใช้ทำธุรกิจในวันนี้มาจากไหน และตีความกันไปหลายรูปแบบ ซึ่งจริงๆ แล้วชื่อจันทร์เพ็ญ มาจากชื่อร้านอาหารที่เราใช้ เพราะในสมัยก่อน ผมมีความประทับใจกับร้านอาหารร้านหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ในตัวเมืองชลบุรี ครั้งนั้นเขาใช้ชื่อว่า ร้านอาหารจันทร์เพ็ญ ซึ่งเมื่อมีโอกาสเข้าตัวเมืองชลผมจะต้องแวะกินอาหารร้านนี้เสมอ ดังนั้น เมื่อเราต้องตั้งร้านอาหารบ้างก็ใช้ชื่อ ศรีราชาจันทร์เพ็ญ (ปัจจุบันร้านแห่งนี้เป็นที่ตั้งของร้านถ่ายภาพรังสิยากรณ์) และเมื่อเริ่มทำธุรกิจก็เลยคิดว่าจำเป็นต้องใช้ชื่อนี้ เพราะคนเก่าๆ ในศรีราชารู้จักเราจากชื่อร้านอาหาร ซึ่งเมื่อมาทำธุรกิจ ก็ตัดคำว่าศรีราชา ออกและให้เหลือเพียง จันทร์เพ็ญ ประโยคเดียว และก็ใช้มาจนถึงปัจจุบัน ”

เสี่ยอู๋ ขยายความถึงการทำธุรกิจปั๊มแก๊ส และปั๊มน้ำมันว่า เกิดจากการเติบโตทางธุรกิจหลังกระโดดเข้าสู่วงการรับเหมาก่อสร้างในอำเภอสัตหีบแบบเต็มตัว ทำให้ในปี 2525 ตัดสินใจใช้เงินทุนที่มีขยายธุรกิจด้วยการเป็นเอเยนต์ขายแก๊สหุงต้ม 2 หัวจ่าย โดยใช้พื้นที่ประมาณ 2 ไร่ครึ่งบริเวณผาแดง ตำบลแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา ก่อตั้งปั๊มแก๊สจันทร์เพ็ญขึ้นเป็นแห่งแรก หลังจากนั้นได้ขยายรูปแบบการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้วยการเพิ่มแก๊สโซล่าตู้ลอยอีก 1 หัวจ่ายเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้เข้ามาใช้บริการ

การเป็นเอเยนต์จำหน่ายแก๊สหุงต้มที่เริ่มขึ้นในปี 2525 เติบโตขึ้นอย่างมาก จนกระทั่งในปี 2526 -2527 เสี่ยอู๋ ตัดสินใจลงทุนเพิ่มด้วยการขยายปั๊มจำหน่ายเพิ่มขึ้นในตัวเมืองศรีราชา และดำเนินธุรกิจด้วยดีมาโดยตลอด จนตัดสินใจเปลี่ยนรูปแบบปั๊มเป็นรูปแบบคานแดง ของปตท.ในปี 2533 และเปลี่ยนรูปแบบปั๊มอีกครั้งเป็นรูปแบบ Lanbor .ในปี 2539 และในปี 2543 ได่ปรับรูปแบบปั๊มครั้งใหญ่จนทันสมัยและสวยงามจนถึงปัจจุบัน

ปัจจุบันจันทร์เพ็ญแก๊ส มีปั๊มแก๊ส NGV และ LPG ให้บริการในพื้นที่อำเภอศรีราชา 3 แห่ง ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลแหลมฉบัง ตำบลหนองยายบู่ และบริเวณริมถนนสาย 331 อำเภอศรีราชา รวมทั้งปั๊มให้บริการปิโตรเลียมอีก 3 แห่งในอำเภอศรีราชาเช่นกัน ซึ่งแต่ละแห่งใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 80 ล้านบาท ซึ่งในวันนี้ธุรกิจในเครือจันทร์เพ็ญ มีมูลค่าไม่ต่ำกว่าพันล้านบาท และมีพนักงานที่อยู่ในการดูแลไม่น้อยกว่า 100 คน

เสี่ยอู๋ ยังบอกถึงวิธีดูแลความเป็นอยู่ของผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งแต่ละคนมีอายุการทำงานกับบริษัทนานนับ 10 ปีว่า บริษัทให้ความสำคัญกับการจัดการด้านสวัสดิการ รวมถึงการจัดหาที่อยู่อาศัยให้กับพนักงานเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย ซึ่งการให้บริการปั๊มแก๊ส และปั๊มปิโตรเลียม จำเป็นต้องจัดพนักงานบริการทั้ง 3 กะ เนื่องจากเป็นงานบริการตลอด 24 ชั่วโมง

แม้ว่าปัจจุบันเสี่ยอู๋ จะมีอายุมากแล้ว แต่ท่านก็ยังคงเข้าทำงานและตรวจสอบงานในปั๊มแก๊สและปั๊มปิโตรเลียมด้วยตนเองตลอดทั้ง 6 ปั๊ม ที่สำคัญยังเป็นที่รักของพนักงาน และร้านค้าต่างๆ ที่เข้ามาอาศัยพื้นที่ทำมาค้าขาย ซึ่งในแต่ละวันจะใช้เวลาช่วงเย็นเดินพบปะพูดคุย และทักทายพนักงานที่อยู่ในความดูแลอย่างเป็นกันเอง

เสี่ยอู๋ ยังทิ้งท้าย ถึงวิธีพร่ำสอนบุตรหลาน และบริวาร ที่อยู่ในความดูแล เกี่ยวกับการทำงานให้ประสบความสำเร็จว่า งานทุกชนิด ต้องอาศัยความพยายาม และความตั้งใจในการทำ ในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป แต่หัวใจหลักจะต้องอยู่ที่ความขยัน ซื่อสัตย์ทั้งต่อตนเอง และผู้อื่น จึงจะถือว่าเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง ...
กำลังโหลดความคิดเห็น