เชียงราย - อธิบดีกรมป่าไม้ เรียกเจ้าหน้าที่ในสังกัดเขต 3 จังหวัดภาคเหนือติวเข้ม ลุยแก้ปัญหารุกป่า ป้องกันน้ำท่วม ภัยแล้ง สั่งรายงานผลทุกเดือน ขู่หากพบมีแต่ลาดตระเวนไร้ผลจับกุม มีสิทธิ์ “ถูกยุบหน่วย” หวังลบภาพกรมตอไม้ให้ได้
วันนี้(23 มี.ค.55)นายสุวิทย์ รัตนมณี อธิบดีกรมป่าไม้ ได้เดินทางมาเป็นประธานเปิดฝึกอบรมหลักสูตรการเพิ่มมาตรการป้องกันและปราบปรามการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ ณ ห้องประชุมมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย โดยมีผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้จากสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย) นำเจ้าหน้าที่ในสังกัดจาก 3 จังหวัดคือ จ.เชียงราย พะเยา และน่าน จากทั้งหมด 46 หน่วย จำนวนประมาณ 300 คน เข้าร่วม
นายสุวิทย์ ได้บรรยายถึงความสำคัญของป่าไม้ว่า ถ้าป่าอุดมสมบูรณ์จะเก็บน้ำจากฝนได้ 80% และค่อยๆ ปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ทำให้อากาศชุ่มชื้นเย็นสบาย แต่หากไม่มีป่า ก็จะทำให้เกิดน้ำท่วมหนักอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อปลายปี 2554 และอากาศก็แห้งแล้ง
นายสุวิทย์ กล่าวว่า สถานการณ์ป่าไม้ในภาคเหนือถือว่าอยู่ในขั้นวิกฤต เพราะหลังจากที่ป่าเริ่มฟื้นตัวในช่วง 2-3 ปีก่อน พบว่าในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมากลับถูกบุกรุกเพิ่มอีก จากการนั่งเฮลิคอปเตอร์สำรวจครั้งล่าสุดในภาคเหนือ พบหลายแห่งมีการบุกรุกเพื่อเข้าไปทำการเกษตรโดยเฉพาะยางพารา ข้าวโพด ฯลฯ บางจุดพบต้นยางพาราขนาดใหญ่เข้าไปอยู่ในป่าลึก ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้แสดงให้เห็นว่าผู้กระทำมีอิทธิพลมาก
ทั้งนี้ การสำรวจพื้นที่ป่าครั้งล่าสุดมีขึ้นเมื่อปี 2551 โดยว่าจ้างมหาวิทยาลัยมหิดลสำรวจและวิเคราะห์พบมีเนื้อที่ป่าทั้งหมดประมาณ 107 ล้านไร่ หรือประมาณ 30% แต่จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ โดยเฉพาะภาคเหนือ ทำให้ตนไม่มั่นใจในตัวเลขดังกล่าวแล้ว และในปี 2556 คงต้องให้มหาวิทยาลัยสำรวจอีกครั้งซึ่งเป็นมาตรการสำรวจทุกๆ 5 ปีต่อไป
ดังนั้น ตนจึงได้กระตุ้นให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้เห็นว่าเขาเป็นคนสำคัญ ที่จะต้องปกป้องป่าไม้ให้ดีที่สุด โดยให้ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ฝ่ายปกครอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ฯลฯ เข้าไปดำเนินการป้องกันและปราบปรามการบุกรุกทำลายป่า
“นับจากนี้ให้ทุกหน่วยทำรายงานแจ้งไปยังกรมป่าไม้ เป็นประจำทุกเดือน หากหน่วยใดไม่มีผลงาน หรือมีแต่ลาดตระเวน แต่ไม่มีผลงานจับกุมใดๆ ก็อาจจะต้องยุบหน่วยไป เพราะมีเอาไว้ก็ไม่เกิดประโยชน์ ทั้งยังสิ้นเปลืองงบ และนำงบประมาณไปให้หน่วยอื่นจัดการต่อไป”
อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวอีกว่า บางพื้นที่ปัญหาเกิดขึ้นไม่หยุด โดยเฉพาะลุ่มน้ำน่าน ซึ่งป่าถูกรุกทุกปี จึงแจ้งหน่วยอื่นๆ ด้วยว่าให้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพราะเจ้าหน้าที่ได้รับเงินเดือนทุกเดือน เบี้ยเลี้ยงก็ได้ตามสมควร แต่บางหน่วยพบว่า การบุกรุกป่าเกิดขึ้นห่างจากหน่วยเพียงเล็กน้อยกลับไม่เข้าไปดำเนินการจับกุม ดังนั้น จึงมีแนวทางว่าถ้าอยู่แล้วหน่วยไม่มีประโยชน์ก็ต้องยุบหน่วยแล้วนำงบประมาณไปให้หน่วยงานอื่นที่เขาทำประโยชน์ได้เข้าไปทำงานแทน เช่น ตำรวจ ทหาร ฯลฯ
นายสุวิทย์ กล่าวว่า ภัยพิบัติในปัจจุบันเกิดขึ้นรุนแรงมากกว่าปกติ ทั้งน้ำท่วม ดินถล่ม ภัยแล้ง ฯลฯ ซึ่งต้นเหตุของปัญหาคือการขาดแคลนป่าไม้ และป่าไม้คือคำตอบในการป้องกันปัญหาดังกล่าวทั้งหมด
ในปี 2554 ที่ผ่านมา หลังเกิดน้ำท่วมหนักที่ภาคเหนือ ทำให้รัฐบาลต้องสูญเสียเงินเพื่อเยียวยาไปกว่า 350,000 ล้านบาท ทั้งๆ ที่ควรจะนำไปพัฒนาด้านอื่นๆ ได้อีกมาก แม้แต่กรมป่าไม้ ยังถูกตัดงบประมาณจัดซื้อรถเพื่อลาดตระเวนในป่าปี 2555 จำนวน 70 คัน และต้องไปขอในปี 2556 แทน
“ปัญหาเกิดจากคนที่อยู่บนภูเขาส่วนหนึ่งและนายทุนคนเห็นแก่ตัวที่เข้าไปยึดถือครองอีกส่วนหนึ่ง แต่ในฐานะผู้พิทักษ์ป่าไม้ที่ผ่านมาเรากลับไม่สามารถทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ ป่าถูกบุกรุกคนเขาก็มาด่ากรมป่าไม้ จนบางคนว่าเป็นกรมตอไม้ เพราะไม้ถูกตัดไปเสียแล้วไม่รู้เจ้าหน้าที่หายไปไหน ดังนั้น ต่อไปนี้จึงจะให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพราะโดยหลักแล้วเรามีกำลังพล มีอำนาจหน้าที่ในการจับกุม ตรวจยึดตามที่กฎหมายรองรับ มีอุปกรณ์ มีพื้นที่รับผิดชอบชัดเจน” นายสุวิทย์ กล่าว
อธิบดีกรมป่าไม้ ยังบอกอีกว่า ต่อไปนี้เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ ทุกหน่วยจะต้องปรับตัวจากอดีตที่ทำงานอยู่หน่วยเดียว หรือค่อนข้างลึกลับ มาเปิดตัวต่อสาธารณะชน โดยให้เข้าร่วมการประชุมกับหน่วยงานอื่นๆ เป็นประจำทั้งระดับจังหวัด อำเภอ และท้องถิ่น เพื่อเปิดตัว แนะนำตัวเองและผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคน รับฟังปัญหาจากหน่วยต่างๆ เพราะที่ผ่านมามักมีคนแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เข้าไปรีดไถ ขนไม้ ตัดไม้ ฯลฯ หลายครั้งก็เป็นเจ้าหน้าที่ของเราปะปนเข้าไป จึงต้องเปิดตัวเพื่อให้สาธารณชนได้เห็นว่า ใครเป็นตัวจริงต่อปลอม และใครมีหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามการทำกระทำผิด เพื่อให้ทำหน้าที่กันได้เต็มที่ ส่วนระดับท้องถิ่นก็ลงไปประชุมกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เพื่อความไว้วางใจกัน
ทั้งนี้ คาดว่า เมื่อทำอย่างสม่ำเสมอต่อไปจะทำให้สถานการณ์ป่าไม้ดีขึ้น ตามแนวพระราชดำริที่ว่าปลูกป่าต้องปลูกในใจคนก่อน ซึ่งกรณีของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็เช่นกันก็จะน้อมนำแนวพระราชดำริด้วยการปลูกป่าในใจคนหรือหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องก่อน จากนั้นจึงนำไปสู่การร่วมกันปกป้องและปลูกป่าต่อไป
"ในนี้ถือเป็นปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนมายุครบ 84 พรรษา และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถครบ 80 พรรษา ซึ่งที่ผ่านมาทั้งสองพระองค์ทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวข้องกับป่าและน้ำเป็นส่วนใหญ่ จึงขอให้พวกเราได้ทำความดีด้วยการทำหน้าที่เจ้าหน้าป่าไม้ให้ดีที่สุด" นายสุวิทย์ กล่าว
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า จากนั้นนายสุวิทย์ ได้ให้หน่วยต่างๆ แสดงความคิดเห็น ซึ่งพบปัญหาหลายเรื่อง เช่น การร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นในการบริหารจัดการ เพื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกป่าของชนกลุ่มน้อย การขาดแคลนรถยนต์เพื่อลาดตระเวน ฯลฯ โดยหน่วยในพื้นที่ จ.น่าน กว่า 10 หน่วย ต้องขอใช้รถของหน่วยต้นน้ำของกรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เพราะรถของหน่วยตัวเองใช้การไม่ได้ ทำให้นายสุวิทย์ ได้มอบรถยนต์จากการบริจาคของเอกชนเพื่อนำไปแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าก่อน 1 คัน