กาฬสินธุ์ - "เฉลิม อยู่บำรุง" ระบุคดียาซึ่งมีสารตั้งต้นผลิตยาเสพติดหายออกจากโรงพยาบาล ตำรวจพื้นที่ต้องจัดการกวาดล้างขั้นเด็ดขาดกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยไม่ละเว้น พร้อมกำชับให้ บช.ปส. ดีเอสไอ และ ป.ป.ส. เข้าสางคดีอย่างใกล้ชิด ระบุรู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้เพราะตำรวจปราบยาเสพติดแทบตายแต่สุดท้ายต้นต่อเกิดจากโรงพยาบาลกับผู้มีสถานะทางสังคมที่สูง ด้านตำรวจกาฬสินธุ์เตรียมแจ้งข้อหาเจ้าหน้าที่เภสัชและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง พร้อมเล็งสอบผอ.รพ.กมลาไสยเพิ่ม
ความคืบหน้าการตรวจสอบปัญหายาแอดติเฟดซึ่งมีส่วนผสมของสารตั้งต้นยาเสพติด หายจากโรงพยาบาลกมลาไสย อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ กว่า 3. 5 แสนเม็ด ซึ่งตำรวจยังพบว่ามีเภสัชกรและเจ้าหน้าที่ห้องยาพัวพันไม่ต่ำกว่า 5 คน อีกทั้งยังพบหลักฐานการตกแต่งบัญชีเพื่อลักลอบนำตัวยาออกไป
ล่าสุดวันนี้(18 มี.ค.) ที่ สภ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ พ.ต.อ.วิเชียร พินดวง รอง ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ พ.ต.อ.วันชัย รณชาติชัย ผกก.สภ.กมลาไสย พ.ต.ท.สมทรง พลเดช รอง ผกก.สภ.กมลาไสย พร้อมชุดคลี่คลายคดี ได้ประชุมสรุปผลการสืบสวนสอบสวนในคดีดังกลาง ซึ่งได้จำแนกปัญหาเป็น 2 ลักษณ์ คือปัญหายาแก้หวัด “แอดติเฟด”หาย ซึ่งจะมีการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการติดตามยาชนิดนี้ที่อาจจะโยงใยไปถึงกระบวนการค้ายาบ้า โดยได้ทำแผนผังช่องทางการลักลอบนำยาออกจากโรงพยาบาลไปจนถึงเครือข่ายรับซื้อ
พ.ต.อ.วิเชียร พินดวง รอง ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ หน.ชุดคลี่คลายคดี กล่าวว่า คาดว่าในอีก 3 วัน สำนวนการสอบสวนจะทำเสร็จเรียบร้อยและจะทำการส่งเรื่องให้กับกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) เพื่อดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหากับเจ้าหน้าที่เภสัชและผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะคดียาหาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องการให้แนวทางการสืบสวนสอบสวนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน สาเหตุเนื่องจาก ยายี่ห้อแอดติเฟด มีส่วนผสมของ สาร ซูโดอีเฟดรีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นผลิตยาเสพติด ได้ทั้งยาบ้าและยาไอซ์
จึงเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา เพราะไม่มีเหตุผลใดที่จะทำให้เชื่อได้ว่าปลายทางที่รับซื้อจะไม่เกี่ยวพันกับยาเสพติด การทำคดียังต้องรัดกุม ทั้งนี้เนื่องจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลการงานนี้ จะเป็นหน้าที่ของ ปปท.ในการดำเนินการตามกฎหมายเอาผิดในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ปลอมแปลงเอกสาร และทุจริตในหน้าที่
“สิ่งที่ต้องทำการสอบสวนใหญ่ก็คือต้นทาง หมายถึงการจัดซื้อยาพบพิรุธตั้งแต่ปี 2553-2554 ตัวเลขมีการสั่งเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในปี 2554 เพียงปีเดียว โรงพยาบาลกมลาไสย ได้สั่งยาเพิ่มขึ้นกว่าเดิมถึง 3 เท่าตัว ดังนั้นจึงต้องทำการสอบถามทบทวนไปยังผู้อำนวยการโรงพยาบาลกมลาไสยใหม่อีกครั้งว่า เพราะอะไรถึงได้มีการสั่งยามามากขนาดนี้ในด้านการตกแต่งบัญชีก็มีหลักฐานมัดอย่างชัดเจน แต่ผู้ต้องสงสัยเริ่มที่จะปฏิเสธ ไม่เหมือนกับการให้การในครั้งแรกกับตำรวจที่สารภาพทุกอย่าง จึงขอให้ใจเย็นๆ ตนจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดอย่างแน่นอน” รอง ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์
ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเดินทางมาปฏิบัติภารกิจส่วนตัวที่ อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ ได้กล่าวว่า ปัญหาการลักลอบนำยาแก้หวัดที่มีส่วนผสมของสารซูโดอีเฟดรีน หายจากโรงพยาบาล เกิดขึ้นกับสถานพยาบาลหลายจังหวัด ตรงนี้ทางรัฐบาล โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรับรู้ รับทราบ และกำลังทำการแก้ไขตรวจสอบแล้ว
ซึ่งเรื่องนี้เราปราบกันแทบตายแต่ต้นทางมาเกิดจากโรงพยาลทำให้ตนและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคนเสียใจ ไม่คาดคิด เพราะตนได้รณรงค์ให้ทุกฝ่ายช่วยกันปราบยาบ้าแต่กลับพบต้นทางอยู่ที่โรงพยาบาล ดังนั้นการแก้ไขปัญหานี้ต้องเด็ดขาด ใครมีส่วนเกี่ยวข้องไม่ว่าอาชีพไหนก็แล้วแต่ต้องจับให้หมด ซึ่งในฐานะกำกับดูแลได้กำชับไปยัง กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ปปส.และดีเอสไอ เข้าทำคดีและเรื่องนี้จะติดตามอย่างใกล้ชิด
เพราะปัญหายาบ้า ที่รัฐบาลเร่งปราบปรามได้พบต้นต่อที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นจากโรงพยาบาลและยังเป็นฝีมือของผู้มีสถานะทางสังคมที่ดี ซึ่งหากพบว่ามีความผิดจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
ความคืบหน้าการตรวจสอบปัญหายาแอดติเฟดซึ่งมีส่วนผสมของสารตั้งต้นยาเสพติด หายจากโรงพยาบาลกมลาไสย อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ กว่า 3. 5 แสนเม็ด ซึ่งตำรวจยังพบว่ามีเภสัชกรและเจ้าหน้าที่ห้องยาพัวพันไม่ต่ำกว่า 5 คน อีกทั้งยังพบหลักฐานการตกแต่งบัญชีเพื่อลักลอบนำตัวยาออกไป
ล่าสุดวันนี้(18 มี.ค.) ที่ สภ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ พ.ต.อ.วิเชียร พินดวง รอง ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ พ.ต.อ.วันชัย รณชาติชัย ผกก.สภ.กมลาไสย พ.ต.ท.สมทรง พลเดช รอง ผกก.สภ.กมลาไสย พร้อมชุดคลี่คลายคดี ได้ประชุมสรุปผลการสืบสวนสอบสวนในคดีดังกลาง ซึ่งได้จำแนกปัญหาเป็น 2 ลักษณ์ คือปัญหายาแก้หวัด “แอดติเฟด”หาย ซึ่งจะมีการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการติดตามยาชนิดนี้ที่อาจจะโยงใยไปถึงกระบวนการค้ายาบ้า โดยได้ทำแผนผังช่องทางการลักลอบนำยาออกจากโรงพยาบาลไปจนถึงเครือข่ายรับซื้อ
พ.ต.อ.วิเชียร พินดวง รอง ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ หน.ชุดคลี่คลายคดี กล่าวว่า คาดว่าในอีก 3 วัน สำนวนการสอบสวนจะทำเสร็จเรียบร้อยและจะทำการส่งเรื่องให้กับกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) เพื่อดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหากับเจ้าหน้าที่เภสัชและผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะคดียาหาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องการให้แนวทางการสืบสวนสอบสวนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน สาเหตุเนื่องจาก ยายี่ห้อแอดติเฟด มีส่วนผสมของ สาร ซูโดอีเฟดรีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นผลิตยาเสพติด ได้ทั้งยาบ้าและยาไอซ์
จึงเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา เพราะไม่มีเหตุผลใดที่จะทำให้เชื่อได้ว่าปลายทางที่รับซื้อจะไม่เกี่ยวพันกับยาเสพติด การทำคดียังต้องรัดกุม ทั้งนี้เนื่องจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลการงานนี้ จะเป็นหน้าที่ของ ปปท.ในการดำเนินการตามกฎหมายเอาผิดในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ปลอมแปลงเอกสาร และทุจริตในหน้าที่
“สิ่งที่ต้องทำการสอบสวนใหญ่ก็คือต้นทาง หมายถึงการจัดซื้อยาพบพิรุธตั้งแต่ปี 2553-2554 ตัวเลขมีการสั่งเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในปี 2554 เพียงปีเดียว โรงพยาบาลกมลาไสย ได้สั่งยาเพิ่มขึ้นกว่าเดิมถึง 3 เท่าตัว ดังนั้นจึงต้องทำการสอบถามทบทวนไปยังผู้อำนวยการโรงพยาบาลกมลาไสยใหม่อีกครั้งว่า เพราะอะไรถึงได้มีการสั่งยามามากขนาดนี้ในด้านการตกแต่งบัญชีก็มีหลักฐานมัดอย่างชัดเจน แต่ผู้ต้องสงสัยเริ่มที่จะปฏิเสธ ไม่เหมือนกับการให้การในครั้งแรกกับตำรวจที่สารภาพทุกอย่าง จึงขอให้ใจเย็นๆ ตนจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดอย่างแน่นอน” รอง ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์
ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเดินทางมาปฏิบัติภารกิจส่วนตัวที่ อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ ได้กล่าวว่า ปัญหาการลักลอบนำยาแก้หวัดที่มีส่วนผสมของสารซูโดอีเฟดรีน หายจากโรงพยาบาล เกิดขึ้นกับสถานพยาบาลหลายจังหวัด ตรงนี้ทางรัฐบาล โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรับรู้ รับทราบ และกำลังทำการแก้ไขตรวจสอบแล้ว
ซึ่งเรื่องนี้เราปราบกันแทบตายแต่ต้นทางมาเกิดจากโรงพยาลทำให้ตนและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคนเสียใจ ไม่คาดคิด เพราะตนได้รณรงค์ให้ทุกฝ่ายช่วยกันปราบยาบ้าแต่กลับพบต้นทางอยู่ที่โรงพยาบาล ดังนั้นการแก้ไขปัญหานี้ต้องเด็ดขาด ใครมีส่วนเกี่ยวข้องไม่ว่าอาชีพไหนก็แล้วแต่ต้องจับให้หมด ซึ่งในฐานะกำกับดูแลได้กำชับไปยัง กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ปปส.และดีเอสไอ เข้าทำคดีและเรื่องนี้จะติดตามอย่างใกล้ชิด
เพราะปัญหายาบ้า ที่รัฐบาลเร่งปราบปรามได้พบต้นต่อที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นจากโรงพยาบาลและยังเป็นฝีมือของผู้มีสถานะทางสังคมที่ดี ซึ่งหากพบว่ามีความผิดจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
