นครพนม - ชาวบ้านรันทดวอนช่วยเหลือเด็กหนุ่มพิการครึ่งท่อนวัย 19 ปี แผลติดเชื้อไร้ญาติ ซ้ำขาดหน่วยงานช่วยเหลือดูแล ต้องขอกินข้าวก้นบาตรพระประทังชีวิต ก่อนตายขอพบหน้าพ่อแม่
ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดนครพนมว่า พบเรื่องราวสุดรันทดของนายสุริยัน พิมพ์บุญมา หรือ “น้องบอย” วัย 19 ปี ชาวบ้านคำสว่าง หมู่ที่ 5 ต.วังตามัว อ.เมือง จ.นครพนม หลังประสบอุบัติเหตุจากจักรยานยนต์เป็นเหตุให้พิการเป็นอัมพฤกษ์ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่ไม่มีญาติดูแล ถูกปล่อยทิ้งไว้เพียงลำพังตามชะตาชีวิต นอนบนแคร่ใต้ถุนบ้าน อยู่รอดด้วยการอาศัยข้าวก้นบาตรจากวัดกิน ชาวบ้านสงสารจึงนำมาให้กินประทังชีวิตให้อยู่รอดไปวันๆ แต่ไม่มีหน่วยงานหรือองค์กรทางภาครัฐเข้ามาดูแลช่วยเหลืออย่างจริงจัง
ชีวิตรันทดของ “น้องบอย” ทุกวันจะนอนบริเวณแคร่ใต้ถุนบ้าน ในสภาพช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และมีบาดแผลกดทับบริเวณสะโพกและก้น มีเพียงอาสาสมัครสาธารณสุขชุมชนที่เกิดความสงสาร แวะเวียนมาล้างแผลให้เพื่อบรรเทาความเจ็บปวด เพราะบางครั้งมีแมลงวันและมดมาตอมแผล ต้องอาศัยมุ้งกางป้องกัน โดยชาวบ้านเคยเรียกร้องไปยังหน่วยงานภาครัฐทั้ง อำเภอ อบต. ให้มาตรวจสอบดูแลเร่งให้การช่วยเหลือ เกรงว่าแผลจะติดเชื้อลุกลาม
แต่ยังรอการเสนอเรื่องผ่านขั้นตอนตามระเบียบราชการ จึงวิงวอนผ่านสื่อให้ผู้ใจบุญมาช่วยเหลือ เกรงสุขภาพผู้ป่วยจะย่ำแย่ทรุดหนัก
นายบัวลา จันทร์แก้ว อายุ 47 ปี กำนันตำบลวังตามัว อ.เมือง จ.นครพนม กล่าวถึงชีวิตรันทด ของ นายสุริยัน พิมพ์บุญมา หรือน้องบอย หนุ่มวัย 19 ปี ลูกบ้านว่า เดิมน้องบอยจะอาศัยอยู่กับปู่และย่า คือ นายทองแดง พิมพ์บุญมา อายุ 65 ปี และนางทองจันทร์ พิมพ์บุญมา อายุ 62 ปี มาตั้งแต่อายุ 3 ขวบ เนื่องจากพ่อและแม่ คือ นายสุขสันต์ และนางจันทา พิมพ์บุญมา ไปทำงานรับจ้างต่างจังหวัดหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวที่มีฐานะยากจน นานๆ ครั้งจะกลับมาเยี่ยมลูก
จนกระทั่งเมื่อประมาณ ปี 2548 ทั้งพ่อและแม่ได้ขาดการติดต่อกับครอบครัวโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้น้องบอยต่อสู้ชีวิตโดยอาศัยอยู่กับปู่และย่าตามสภาพ ซึ่งได้มีโอกาสเรียนหนังสือจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และต้องหยุดเรียนเนื่องจากฐานะยากจน บวกกับนายทองแดง พิมพ์บุญมา อายุ 65 ปี ปู่ที่ดูแลเสมือนพ่อต้องล้มป่วยเสียชีวิตลงเมื่อประมาณปี 2553 จึงต้องไปทำงานรับจ้างหาเงินมาซื้อข้าวกิน และเลี้ยงย่า ประทังชีวิตให้อยู่รอด เพราะพ่อกับแม่ ไม่เคยติดต่อมาเลย
จนกระทั่งเมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม 2554 น้องบอยได้ประสบอุบัติเหตุขณะขับขี่จักรยานยนต์ไปกับเพื่อน ทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลนครพนมเป็นเหตุให้เป็นอัมพฤตครึ่งตัวจากเอวลงถึงเท้า ช่วยตัวเองไม่ได้ และยังเป็นแผลติดเชื้อกดทับขนาดใหญ่บริเวณสะโพกและก้น ที่ต้องเยียวยารักษาเป็นเวลานานพอสมควร
หนำซ้ำต้องเจอกับความสูญเสียระหว่างรักษาตัวที่โรงพยาบาล เนื่องจากย่า คือ นางทองจันทร์ พิมพ์บุญมา อายุ 62 ปี ต้องป่วยและเสียชีวิตจากไปอีกคน ทำให้น้องบอยต้องอยู่เพียงลำพังตามสภาพ มีเพียงชาวบ้านที่อยู่ใกล้เป็นเพื่อนบ้านที่สงสารเทียวแวะเวียนมาเยี่ยมให้กำลังใจ
ต่อมาเมื่อไม่นานมานี้ ทางโรงพยาบาลได้ให้น้องบอยกลับไปรักษาตัวที่บ้าน เนื่องจากเกินระยะเวลาที่ทางโรงพยาบาลจะทำการรักษา ก่อนถูกส่งตัวกลับมาบ้านแบบขาดญาติพี่น้อง มีเพียงนางสมศรี พิมพ์บุญมา อายุ 35 ปี อาสาวที่เป็นญาติเพียงคนเดียวแต่ไม่สามารถจะดูแลได้เพราะฐานะยากจนต้องดิ้นรนทำงานรับจ้างเลี้ยงชีวิตเช่นกัน ทำให้น้องบอยต้องนอนพักอยู่ลำพังตามสภาพบนแคร่ใต้ถุนบ้านยกสูงที่สร้างยังไม่แล้วเสร็จ โดยไม่รู้ชะตาชีวิต มีเพียงชาวบ้านที่สงสารแวะเวียนนำอาหารจากวัดมาให้กินประทังชีวิต ส่วนแผลที่กดทับติดเชิ้อนั้นคงหายยากเพราะขาดการรักษาต่อเนื่อง
และเกิดปัญหาอับชื้นติดเชื้อเน่าเปื่อย อาศัยเพียง อสม.ของหมู่บ้านที่ว่างแวะเวียนมาดูแลคอยล้างแผลตามสภาพ
ล่าสุด ได้ยื่นหนังสือขอความช่วยเหลือไปยังภาครัฐ อำเภอ อบต. แต่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ ระบุว่าต้องรอเสนอตามขั้นตอน จึงวิงวอนอยากให้เร่งรัดจัดเจ้าหน้าที่ และอุปกรณ์มาดูแลช่วยเหลือ เพราะอาการป่วยและแผลของน้องบอยมีปัญหาเรื่องติดเชื้อ หากล่าช้าจะทำให้สุขภาพทรุดลงทุกวันแน่นอน เพราะบางวันต้องรวมเงินกันไปซื้อยาและอุปกรณ์มาล้างแผล นอกจากนี้อยากฝากไปถึงพ่อกับแม่หากทราบข่าว หรือมีชีวิตอยู่ อยากให้กลับมาดูแลลูกในปั้นปลายชีวิต
ทางด้าน นางหนูเพียร ไชยา อายุ 43 ปี ประธานอาสาสมัครสาธารณสุขชุมชน ต.วังตามัว กล่าวว่า ในการดูแลตนได้ใช้เวลาว่างมาช่วยล้างแผล และดูแลตามสภาพ เพราะสงสารมาก ญาติพี่น้องก็ไม่มีดูแล มีเพียงอาสาวคนเดียวก็ไม่สามารถจะดูแลได้เพราะฐานะยากจน ต้องไปดิ้นรนทำงาน ต้องปล่อยให้น้องบอยอาศัยอยู่ตามลำพัง ส่วนข้าวปลาอาหารก็มีชาวบ้านที่สงสารนำข้าวก้นบาตรมาแวะเวียนให้กินประทังชีวิต
ที่เป็นห่วงคือเรื่องแผลกดทับบริเวณสะโพก ซึ่งเป็นแผลขนาดใหญ่ หากไม่มีการดูแลต่อเนื่อง หรือให้การรักษาที่ดีจะต้องติดเชื้อเพราะช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องนอนตลอด ทำให้เกิดการกดทับ เกิดความชื้น บางครั้งมาดูมีกลิ่นเหม็น อีกทั้งสภาพความเป็นอยู่นอนในใต้ถุนบ้าน ทั้งมด และแมลงวันมาตอม ต้องใช้มุ้งกางป้องกัน ยิ่งใกล้ถึงฤดูฝนมีลมพายุมายิ่งแย่ ต้องหาผ้าใบมาปิดป้องกันฝนสาด เพราะนอนคนเดียวลำพังช่วยตัวเองไม่ได้
หากเป็นไปได้อยากให้หน่วยงานภาครัฐ หรือผู้ใจบุญ หาทางช่วยเหลือ ถ้ารอให้มีการเสนอผ่านขั้นตอนทางราชการคงอีกนาน ปล่อยให้ดูแลตามประสาชาวบ้านแบบนี้ก็เสมือนรอวันตายเท่านั้น เพราะขณะนี้แม้แต่อุปกรณ์ล้างแผลก็ยังไม่มี แจ้งไปยังหน่วยงานภาครัฐก็มีเพียงรับเรื่องไว้
“ที่สำคัญอยากฝากไปถึงพ่อกับแม่ หากยังมีชีวิตอยู่ อยากให้กลับมาดูแลลูก เพราะเจ้าตัวพูดเสมอว่า อยากเห็นหน้าพ่อกับแม่ก่อนตาย”