เชียงราย - นักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดังเมืองเชียงราย ทนไม่ไหว 2 อาจารย์สอน “จริยธรรมเพื่อชีวิต-ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร” ใช้เวลาในชั่วโมงการเรียนการสอน นำแนวคิดคนเสื้อแดง เป่าหู นศ.ยกหาง “แม้ว” ชูเป็น “ลูกพี่” แถมผรุสวาทคำหยาบคาย ด่าฝ่ายตรงข้ามพรรคเพื่อไทย กระทืบ “ปชป.-กลุ้มใจไทย” จมดิน
ท่ามกลางกระแสขัดแย้งทางความคิดด้านการเมืองที่คุกรุ่นในสังคมไทยต่อเนื่องนั้น ปรากฏว่า มีอาจารย์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในเมืองเชียงราย อย่างน้อย 2 คน กลับใช้เวลาในชั่วโมงที่ตนเองรับผิดชอบสอนวิชาจริยธรรมเพื่อชีวิต คณะสังคมศาสตร์ และวิชาภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร คณะมนุษยศาสตร์ นำแนวคิด-ความเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปช.) หรือคนเสื้อแดง มาพูดให้นักศึกษาในชั้นเรียนของตัวเองฟัง สลับกับการสอนเนื้อหาตามตำราเรียนที่แท้จริงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นายไก่ (ขอสงวนชื่อ และนามสกุลที่แท้จริง) นักศึกษาชั้นปี 1 คนหนึ่ง ที่กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ กล่าวว่า อาจารย์จะพูดเกี่ยวกับความคิดเห็นทางการเมืองของตนเหมือนระบายอารมณ์ โดยพยายามหยิบยกเหตุผลเหมือนกับคนเสื้อแดงออกมาพูดเป็นช่วงๆ ละ 30 นาที สลับกับการสอนอีกเล็กน้อยก็จะกลับมาพูดเหมือนเดิมอีก จนทำให้การสอนในช่วงเวลาปกติ ประมาณ 3 คาบ จะเหลือการสอนเนื้อหาทางวิชาการตามตำรา เพียงประมาณ 1 คาบเท่านั้น หรือบางครั้งก็น้อยกว่านี้ เพราะเสียเวลาไปกับการนำเหตุผลทางการเมืองคนเสื้อแดงมาพูดอธิบาย
นายไก่ บอกว่า นักศึกษาที่เห็นด้วย เขาก็ตั้งใจฟังอยู่ในช่วงแรกๆ แต่พอนานไปก็เบื่อเหมือนกัน เพราะไม่รู้จะพูดไปทำไม ขณะที่ตนและเพื่อนอีกหลายคน มีทัศนะทางการเมืองที่แตกต่างจากคนเสื้อแดง ก็อึดอัดใจมาก เนื่องจากมีการด่าว่ากลุ่มการเมือง หรือบุคคลอื่นๆ พรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ฯลฯ อยู่ตลอดเวลา แต่ยกย่องเชิดชู พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
รายงานข่าวแจ้งว่า มีนักศึกษาคนหนึ่งได้ทดลองบันทึกเสียงของอาจารย์เอาไว้ ซึ่งพูดต่อหน้านักศึกษาที่เข้าเรียนวิชาจริยธรรมเพื่อชีวิตประมาณ 50 คน พบว่า ใช้เวลายาวถึง 1 ชั่วโมง พูดเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับวิชาที่ตัวเองสอน แต่กลับพูดร่ายยาวมาตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 และระบุชัดเจนว่า พรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคของเจ้าขุนมูลนาย และประเทศชาติจะไม่เจริญ ตราบใดที่ยังมีพรรคนี้ จึงเชื่อว่า จะเป็นพรรคฝ่ายค้านตลาดไป
จากนั้น อาจารย์คนเดียวกัน ยังพูดถึงเรื่องประชาธิปไตย ตามแนวทางของคนเสื้อแดง เช่น ประเทศไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะมีทหารอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ มีกลุ่มคนชั้นสูง เจ้าขุนมูลนายซ้อนเร้นอำนาจกันอยู่แล้วก็เริ่มยกย่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า เป็นนักประชาธิปไตย แต่ถูกศาลพิพากษาเอาผิด
อาจารย์มหาวิทยาลัยชื่อดังของเมืองเชียงรายคนนี้ ยังระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกกลั่นแกล้ง เป็นกระบวนการที่ไม่ยุติธรรมและไม่เป็นธรรม และพูดถึงการขายหุ้นเทมาเส็ก ว่า ถูกต้องไม่จำเป็นต้องเสียภาษี แต่กลับถูกกลั่นแกล้ง และต้องเรียกร้องให้ทหารร่วมกับคนเสื้อแดง เพราะการใช้อาวุธล้าหลังแล้ว
“เราอย่าไปเชื่อ ถ้าเชื่อมันประเทศชาติเจ๊ง เราต้องเชื่อและปฏิบัติตามพรรคเพื่อไทย ถ้าเชื่อประชาธิปัตย์เจ๊ง” เสียงของอาจารย์คนดังกล่าว ที่พูดอย่างชัดเจนหน้าชั้นเรียนในวิชาที่สอน
จากนั้นอาจารย์คนนี้ยังพูดถึงแนวคิดทางการเมืองของตนเองออกมาเรื่อยๆ ด้วยการโจมตีกลุ่มการเมืองด้วยประโยคที่ไม่สุภาพ เช่น ไอ้บ้า พรรคการเมืองบ้า “กลุ้มใจไทย” เอารถไฟมาวางไว้ศาลากลางหลังเก่า บอกว่า รถไฟมาเชียงราย “ไอ้ปัญญาอ่อนฉิบหาย” มันคิดว่าคนเชียงรายมันง่าว
นอกจากนี้ ยังระบุถึงชื่อนักการเมืองท้องถิ่นในองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ว่าคิดจะหลอกคนเชียงราย ดังนั้น เมื่อตนพบเจอก็จะด่าทุกวัน
“มีการตัดสินคดีทั้งหลาย ไม่เป็นธรรม พูดกี่ครั้งก็ไม่เป็นธรรม 10 ครั้งก็ไม่เป็นธรรม ทักษิณ ไม่ได้กลับบ้าน ก็เพราะไอ้พวกนี้ มันไม่เป็นธรรม เขาบอกปฏิวัติครั้งที่แล้วมี ปชป.มีคนชั้นสูง มีนักธุรกิจ มีผู้พิพากษา ผู้พิพากษานี้ตัวดี ตัดสินคดีพวกมันหมด” อาจารย์วิชาจริยธรรมเพื่อชีวิต คนดังกล่าวระบุในตอนท้าย
ด้านอาจารย์สอนภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร ก็มีการสอนที่ดุดันในทำนองเดียวกัน โดยบุคลิกอาจารย์จะคล้ายสาวประเภทสอง แต่สงวนบุคลิกได้ดีกว่า แต่ก็มีการหยิบยกความเห็นทางการเมืองเหมือนอาจารย์วิชาจริยธรรมเพื่อชีวิต มาสอนอย่างต่อเนื่อง โดยเรียก พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ลูกพี่ และระบุถึงเหตุการณ์ต่างๆ เช่น ลูกพี่เราถูกกลั่นแกล้ง และต้องหนีไปตั้งหลักอยู่ต่างประเทศ
และเมื่อกล่าวถึงกลุ่ม พธม.ก็จะใส่อารมณ์ด้วยการเรียกคำว่า “ไอ้” นำหน้าอยู่เสมอ เช่น เพราะไอ้พวกนั้นมันชุมนุมจึงขับไล่ลูกพี่เราออกไป เป็นต้น
ซึ่งการกระทำของอาจารย์ทั้ง 2 รายนี้ ทำให้นักศึกษาบางคน ที่เคยเข้าข้างกลุ่มคนเสื้อแดง แสดงอาการเอือมระอา และพากันบ่นช่วงหลังเลิกเรียน ขณะที่บางคนทนไม่ไหว ได้ถามอาจารย์ช่วงพักสอน ว่า เป็นคนเสื้อแดงหรือไม่ แต่อาจารย์กลับปฏิเสธ จึงถูกถามอีกว่า ภายในใจโน้มเอียงไปในทางนั้นใช่หรือไม่ ทำให้ระยะหลังเริ่มมีการสงวนท่าทีการแสดงออกกับนักศึกษาในห้องดังกล่าวลงไปมากพอสมควร
แต่ก็พยายามแสดงทัศนะและความเห็นในลักษณะยกย่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ในคาบวิชาที่ตัวเองสอนในห้องอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง
ท่ามกลางกระแสขัดแย้งทางความคิดด้านการเมืองที่คุกรุ่นในสังคมไทยต่อเนื่องนั้น ปรากฏว่า มีอาจารย์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในเมืองเชียงราย อย่างน้อย 2 คน กลับใช้เวลาในชั่วโมงที่ตนเองรับผิดชอบสอนวิชาจริยธรรมเพื่อชีวิต คณะสังคมศาสตร์ และวิชาภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร คณะมนุษยศาสตร์ นำแนวคิด-ความเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปช.) หรือคนเสื้อแดง มาพูดให้นักศึกษาในชั้นเรียนของตัวเองฟัง สลับกับการสอนเนื้อหาตามตำราเรียนที่แท้จริงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นายไก่ (ขอสงวนชื่อ และนามสกุลที่แท้จริง) นักศึกษาชั้นปี 1 คนหนึ่ง ที่กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ กล่าวว่า อาจารย์จะพูดเกี่ยวกับความคิดเห็นทางการเมืองของตนเหมือนระบายอารมณ์ โดยพยายามหยิบยกเหตุผลเหมือนกับคนเสื้อแดงออกมาพูดเป็นช่วงๆ ละ 30 นาที สลับกับการสอนอีกเล็กน้อยก็จะกลับมาพูดเหมือนเดิมอีก จนทำให้การสอนในช่วงเวลาปกติ ประมาณ 3 คาบ จะเหลือการสอนเนื้อหาทางวิชาการตามตำรา เพียงประมาณ 1 คาบเท่านั้น หรือบางครั้งก็น้อยกว่านี้ เพราะเสียเวลาไปกับการนำเหตุผลทางการเมืองคนเสื้อแดงมาพูดอธิบาย
นายไก่ บอกว่า นักศึกษาที่เห็นด้วย เขาก็ตั้งใจฟังอยู่ในช่วงแรกๆ แต่พอนานไปก็เบื่อเหมือนกัน เพราะไม่รู้จะพูดไปทำไม ขณะที่ตนและเพื่อนอีกหลายคน มีทัศนะทางการเมืองที่แตกต่างจากคนเสื้อแดง ก็อึดอัดใจมาก เนื่องจากมีการด่าว่ากลุ่มการเมือง หรือบุคคลอื่นๆ พรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ฯลฯ อยู่ตลอดเวลา แต่ยกย่องเชิดชู พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
รายงานข่าวแจ้งว่า มีนักศึกษาคนหนึ่งได้ทดลองบันทึกเสียงของอาจารย์เอาไว้ ซึ่งพูดต่อหน้านักศึกษาที่เข้าเรียนวิชาจริยธรรมเพื่อชีวิตประมาณ 50 คน พบว่า ใช้เวลายาวถึง 1 ชั่วโมง พูดเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับวิชาที่ตัวเองสอน แต่กลับพูดร่ายยาวมาตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 และระบุชัดเจนว่า พรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคของเจ้าขุนมูลนาย และประเทศชาติจะไม่เจริญ ตราบใดที่ยังมีพรรคนี้ จึงเชื่อว่า จะเป็นพรรคฝ่ายค้านตลาดไป
จากนั้น อาจารย์คนเดียวกัน ยังพูดถึงเรื่องประชาธิปไตย ตามแนวทางของคนเสื้อแดง เช่น ประเทศไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะมีทหารอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ มีกลุ่มคนชั้นสูง เจ้าขุนมูลนายซ้อนเร้นอำนาจกันอยู่แล้วก็เริ่มยกย่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า เป็นนักประชาธิปไตย แต่ถูกศาลพิพากษาเอาผิด
อาจารย์มหาวิทยาลัยชื่อดังของเมืองเชียงรายคนนี้ ยังระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกกลั่นแกล้ง เป็นกระบวนการที่ไม่ยุติธรรมและไม่เป็นธรรม และพูดถึงการขายหุ้นเทมาเส็ก ว่า ถูกต้องไม่จำเป็นต้องเสียภาษี แต่กลับถูกกลั่นแกล้ง และต้องเรียกร้องให้ทหารร่วมกับคนเสื้อแดง เพราะการใช้อาวุธล้าหลังแล้ว
“เราอย่าไปเชื่อ ถ้าเชื่อมันประเทศชาติเจ๊ง เราต้องเชื่อและปฏิบัติตามพรรคเพื่อไทย ถ้าเชื่อประชาธิปัตย์เจ๊ง” เสียงของอาจารย์คนดังกล่าว ที่พูดอย่างชัดเจนหน้าชั้นเรียนในวิชาที่สอน
จากนั้นอาจารย์คนนี้ยังพูดถึงแนวคิดทางการเมืองของตนเองออกมาเรื่อยๆ ด้วยการโจมตีกลุ่มการเมืองด้วยประโยคที่ไม่สุภาพ เช่น ไอ้บ้า พรรคการเมืองบ้า “กลุ้มใจไทย” เอารถไฟมาวางไว้ศาลากลางหลังเก่า บอกว่า รถไฟมาเชียงราย “ไอ้ปัญญาอ่อนฉิบหาย” มันคิดว่าคนเชียงรายมันง่าว
นอกจากนี้ ยังระบุถึงชื่อนักการเมืองท้องถิ่นในองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ว่าคิดจะหลอกคนเชียงราย ดังนั้น เมื่อตนพบเจอก็จะด่าทุกวัน
“มีการตัดสินคดีทั้งหลาย ไม่เป็นธรรม พูดกี่ครั้งก็ไม่เป็นธรรม 10 ครั้งก็ไม่เป็นธรรม ทักษิณ ไม่ได้กลับบ้าน ก็เพราะไอ้พวกนี้ มันไม่เป็นธรรม เขาบอกปฏิวัติครั้งที่แล้วมี ปชป.มีคนชั้นสูง มีนักธุรกิจ มีผู้พิพากษา ผู้พิพากษานี้ตัวดี ตัดสินคดีพวกมันหมด” อาจารย์วิชาจริยธรรมเพื่อชีวิต คนดังกล่าวระบุในตอนท้าย
ด้านอาจารย์สอนภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร ก็มีการสอนที่ดุดันในทำนองเดียวกัน โดยบุคลิกอาจารย์จะคล้ายสาวประเภทสอง แต่สงวนบุคลิกได้ดีกว่า แต่ก็มีการหยิบยกความเห็นทางการเมืองเหมือนอาจารย์วิชาจริยธรรมเพื่อชีวิต มาสอนอย่างต่อเนื่อง โดยเรียก พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ลูกพี่ และระบุถึงเหตุการณ์ต่างๆ เช่น ลูกพี่เราถูกกลั่นแกล้ง และต้องหนีไปตั้งหลักอยู่ต่างประเทศ
และเมื่อกล่าวถึงกลุ่ม พธม.ก็จะใส่อารมณ์ด้วยการเรียกคำว่า “ไอ้” นำหน้าอยู่เสมอ เช่น เพราะไอ้พวกนั้นมันชุมนุมจึงขับไล่ลูกพี่เราออกไป เป็นต้น
ซึ่งการกระทำของอาจารย์ทั้ง 2 รายนี้ ทำให้นักศึกษาบางคน ที่เคยเข้าข้างกลุ่มคนเสื้อแดง แสดงอาการเอือมระอา และพากันบ่นช่วงหลังเลิกเรียน ขณะที่บางคนทนไม่ไหว ได้ถามอาจารย์ช่วงพักสอน ว่า เป็นคนเสื้อแดงหรือไม่ แต่อาจารย์กลับปฏิเสธ จึงถูกถามอีกว่า ภายในใจโน้มเอียงไปในทางนั้นใช่หรือไม่ ทำให้ระยะหลังเริ่มมีการสงวนท่าทีการแสดงออกกับนักศึกษาในห้องดังกล่าวลงไปมากพอสมควร
แต่ก็พยายามแสดงทัศนะและความเห็นในลักษณะยกย่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ในคาบวิชาที่ตัวเองสอนในห้องอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง