ประจวบคีรีขันธ์ - จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สนธิกำลังลุยตรวจปางช้างหัวหิน หวั่นสวมรอยช้างป่าเป็นช้างบ้าน เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ที่มีประชากรช้างอยู่มากและเป็นรอยต่อระหว่างอุทยานแห่งชาติกุยบุรี และอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เบื้องต้นยังไม่พบการกระทำผิด
วันนี้ (21 ก.พ.) นายวีระ ศรีวัฒนตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้สั่งสนธิกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งฝ่ายปกครอง ตำรวจ กรมอุทยานแห่งชาติและปศุสัตว์ ในพื้นที่ออกตรวจปางช้างในอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อป้องกันและปราบปรามการสวมทะเบียนช้างป่าเป็นช้างบ้านออกหากิน เนื่องจากพื้นที่อำเภอหัวหินเป็นเมืองท่องเที่ยว และมีปางช้างเปิดให้บริการนักท่องเที่ยว อยู่ถึง 3 แห่ง ซึ่งทั้ง 3 แห่ง มีช้างรวมกันกว่า 50 เชือก
โดยเฉพาะเป็นพื้นที่ที่อยู่ในรอยต่อของพื้นที่ที่มีประชากรช้างป่าเป็นจำนวนมาก และเคยเกิดเหตุการณ์การฆ่าช้าง ตัดงา ทั้งที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ดังนั้นในการออกตรวจครั้งนี้จึงเป็นมาตรการเชิงรุกในการที่จะป้องกันการห่าช้าง เพื่อเอาลูกช้างออกมาขายให้กับปางช้างต่างๆ
โดยในวันนี้เจ้าหน้าที่กว่า 30 คน ได้ลงพื้นที่ออกตรวจปางช้างรายใหญ่ ทั้งที่ปางช้างหัวหินซาฟารี และหมู่บ้านช้างหัวหิน โดยเจ้าหน้าที่จะทำการตรวจนับจำนวนตั๋วรูปพรรณ และตรวจไมโครชิปที่หูซ้ายของช้างแต่ละเชือก ที่จะต้องถูกต้องตรงตามในเอกสารแสดงรูปพรรณช้าง
จากการตรวจพบว่า ปางช้างหัวหินซาฟารี มีช้างทั้งสิ้น 19 เชือกมีตั๋วรูปพรรณจำนวน 15 เชือก ส่วนอีก 4 เชือกนั้นเป็นช้างที่อายุไม่ถึงเกณฑ์การทำตั๋วรูปพรรณช้าง ส่วนที่ปางช้างหมู่บ้านช้างหัวหิน มีช้างทั้งหมด 13 เชือก ทุกตัวล้วนมีตั๋วรูปพรรณถูกต้อง ในโอกาสนี้เจ้าหน้าที่ยังได้ชี้แจงขั้นตอนในการขออนุญาตออกตั๋วรูปพรรณช้างให้กับผู้ประกอบการปางช้างหัวหิน ซาฟารีด้วย
นายสัตวแพทย์ สาโรจน์ จันทร์ลาด นายสัตวแพทย์สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า จากข้อมูลเบื้องต้น อำเภอหัวหิน มีปางช้างเปิดให้บริการ 3 แห่ง และมีอีก 2 แหล่งท่องเที่ยวที่ขออนุญาตนำช้างออกมาบริการนักท่องเที่ยว ซึ่งรวมทั้งสิ้นแล้วจะมีช้างบ้านอยู่ในอำเภอหัวหินเกือบ 50 เชือก ยังไม่พบการกระทำผิด
ทั้งนี้ หากพบการกระทำผิดจะดำเนินการตรวจยึดตาม พ.ร.บ.พ.ศ.2482 มาตรา 21 เรื่องการครอบครองสัตว์พาหนะ ซึ่งมีโทษปรับเงินไม่เกิน 100 บาท จำคุก 1 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ ยอมรับว่า กฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบันมีความล่าหลังและโทษที่เบาเกินไป ซึ่งผู้เกี่ยวข้องอาจจะต้องเข้ามาปรับแก้กฎหมายฉบับนี้ให้มีโทษความรุนแรงมากขึ้น