ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - เลขาธิการบีโอไอ ระบุ นักลงทุนยังไม่หนีเมืองไทย แม้เจอน้ำท่วมหนัก ระบุ อาจมีรายเล็กปิดตัวบ้าง แต่ส่วนใหญ่พร้อมทำการผลิตใหม่แล้ว เผย รถยนต์เร่งเดินเครื่องตั้งเป้าส่งรถ 2 ล้านคัน เข้าตลาด ด้านเดือน ม.ค.ยอดการลงทุนยังดีมีโครงการขอรับการส่งเสริมแตะ 7.8 หมื่นล้าน-ปิโตรเคมีสูงสุด
นางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ในเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการที่ยื่นโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอจำนวนทั้งสิ้น 112 โครงการ วงเงินลงทุนประมาณ 78,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดีที่นักลงทุนยังคงให้ความสนใจและขยายการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าประเทศไทยจะได้รับผลกระทบอย่างมากจากเหตุการณ์อุทกภัยในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับธุรกิจที่มีการลงทุนมากที่สุด ได้แก่ ธุรกิจในกลุ่มปิโตรเคมี มีมูลค่าการลงทุนประมาณ 47,000 ล้านบาท โดยตั้งอยู่ในพื้นที่ จ.ระยอง รองลงมา ได้แก่ กิจการในกลุ่มบริการและสาธารณูปโภค ส่วนพื้นที่ที่มีการลงทุนมาที่สุด ได้แก่ พื้นที่ภาคกลางเขต 2 มีมูลค่าการลงทุนประมาณ 56,000 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนในธุรกิจปิโตรเคมีที่ จ.ระยอง ก็รวมอยู่กลุ่มนี้ด้วย ขณะที่พื้นที่ที่มีการลงทุนรองลงมา ได้แก่ พื้นที่ภาคกลางเขต 1 มูลค่าประมาณ 4,400 ล้านบาท ส่วนพื้นที่ภาคเหนือมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 500 ล้านบาท
ส่วนกรณีที่มีความกังวลว่านักลงทุนบางส่วนจะตัดสินใจย้ายฐานการผลิตอันเนื่องมาจากปัญหาอุทกภัยนั้น นางอรรชกา กล่าวว่า จากการติดตามของบีโอไอ พบว่า มีโรงงานบางส่วนเท่านั้นที่ตัดสินใจยุติการผลิต หรือปิดกิจการ ขณะที่โรงงานส่วนใหญ่ในช่วงก่อนเกิดเหตุอุทกภัยนั้นถือว่าอยู่ในสภาวะที่ยังคงมีงานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ที่มีเป้าการผลิตจำนวนมาก แต่ไม่สามารถผลิตได้ตามเป้าหลังเกิดเหตุอุทกภัย
อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ผู้ประกอบการหลายรายจึงอยู่ในขั้นตอนของการฟื้นฟูความเสียหายหรือเริ่มดำเนินการผลิตอีกครั้ง โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ที่จะเร่งการผลิตเพื่อนำรถกลับเข้าสู่ท้องตลาดทดแทนช่วงที่หายไป ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าในปีนี้น่าจะมีรถเข้าสู่ตลาดไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคัน
ขณะที่ในกลุ่มของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์นั้น นางอรรชกา กล่าวว่า ผลกระทบจากเหตุอุทกภัยอาจส่งผลให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กบางส่วนต้องยุติการผลิต แต่ในขณะเดียวกันผู้ประกอบการอีกหลายแห่งเลือกจะย้ายฐานการผลิตไปยังพื้นที่ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยแทน
เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กล่าวด้วยว่า ในระยะยาวผู้ประกอบการหลายแห่งได้วางมาตรการเพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นไว้แล้ว ขณะที่ภาครัฐจำเป็นจะต้องเร่งวางแผนป้องกันและรับมือกับปัญหาการเกิดอุทกภัยอย่างเป็นระบบ เช่น การป้องกันไม่ให้น้ำท่วมเข้าสู่พื้นที่สำคัญหรือเขตนิคมอุตสาหกรรม หรือการเร่งระบายน้ำออกสู่พื้นที่รับน้ำอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นจากกลุ่มนักลงทุนได้
