ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - บีโอไอเปิดหลักสูตรสร้างนักลงทุนไทยไปลงทุนต่างประเทศ ที่เชียงใหม่ พร้อมดึงนักธุรกิจรุ่นใหม่เข้าร่วม เลขาฯ บีโอไอ เชื่อ ผู้เข้าอบรมได้ความรู้เพียบทุกด้าน ชี้ อนาคตทุนไทยต้องขยายไปนอกประเทศ ทั้งมองหาวัตถุดิบ-ขยายสินค้า เหตุการณ์แข่งขันในอนาคตรุนแรง-ประชาคมอาเซียนเปิดตัว
วันนี้ (8 ก.พ.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้จัดการเปิดการอบรมหลักสูตร “สร้างนักลงทุนไทยในการไปลงทุนต่างประเทศ รุ่นที่ 2” ขึ้น ณ โรงแรมเซ็นทารา ดวงตะวัน เชียงใหม่ โดยมี นางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เป็นประธาน
การอบรมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการจัดตั้งศูนย์บ่มเพาะนักลงทุนไทยในต่างประเทศ ภายใต้การดูแลของศูนย์พัฒนาการลงทุนไทยในต่างประเทศ โดยจะจัดอบรมในระหว่างวันที่ 8 ก.พ.-26 เม.ย.2555 ณ จ.เชียงใหม่ เพื่อส่งเสริมให้นักธุรกิจที่เข้ารับการฝึกอบรมได้นำความรู้ เทคนิคและประสบการณ์ด้านการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศไปใช้ในการสร้างความพร้อม และช่วยลดความเสี่ยงในการขยายธุรกิจออกสู่ต่างประเทศ ขณะเดียวกัน ยังเป็นช่องทางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและสร้างเครือข่ายระหว่างกันของผู้ประกอบการ รวมทั้งกระตุ้นให้นักลงทุนไทยเกิดความตื่นตัวต่อการขยายการลงทุนไปสู่ต่างประเทศอีกด้วย
สำหรับการอบรมในครั้งนี้ ผู้เข้ารับการอบรมจะได้รับความรู้จากวิทยากรในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในต่างประเทศอย่างละเอียดละครอบคลุมทุกด้าน รวมทั้งการเดินทางไปศึกษาลู่ทางการลงทุนในต่างประเทศ โดยในส่วนของการอบรมที่จังหวัดเชียงใหม่ในครั้งนี้ มีสมาชิกของกลุ่มเถ้าแก่น้อยอุตสาหกรรม หรือ Young CEO-FTI ซึ่งเป็นกลุ่มที่ประกอบไปด้วยนักธุรกิจรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นทายาทของผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมใน จ.เชียงใหม่ เข้าร่วม
นางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กล่าวถึงการจัดการอบรมดังกล่าว ว่า การจัดการอบรมในครั้งนี้ถือเป็นรุ่นที่ 2 หลังจากที่ได้เปิดอบรมรุ่นที่ 1 อยู่ในขณะนี้ โดยการส่งเสริมให้นักลงทุนไทยได้ออกไปลงทุนในต่างประเทศถือเป็นอีกหนึ่งนโยบายที่สำคัญของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เนื่องจากในปัจจุบันจำเป็นที่นักลงทุนจะต้องแสวงหาตลาดใหม่ๆ ทั้งในแง่ของการแสวงหาวัตถุดิบ เพื่อนำมาใช้ภายในประเทศ หรือการกระจายสินค้าไทยไปสู่ผู้บริโภคชาวต่างชาติ
นางอรรชกา กล่าวต่อไปว่า หากพิจารณาจากแนวโน้มการค้าการลงทุน โดยเฉพาะการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 แล้ว นักลงทุนไทยต้องมองหาลู่ทางในการลงทุนในตลาดใหม่ๆ เพราะในอนาคตเมื่อประเทศไทยมีการปรับอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ จะส่งผลให้ผลผลิตของไทยจะต้องก้าวสู่การผลิตสินค้าในระดับที่สูงขึ้น ทั้งในแง่คุณภาพและราคา ไม่ใช่การรับจ้างผลิตหรือการผลิตสินค้าต้นทุนต่ำเหมือนในอดีต
ดังนั้น การที่จะสามารถทำธุรกิจในตลาดที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงได้ นักลงทุนต้องมองหาลู่ทางในตลาดใหม่ๆ ทั้งจากการไปหาวัตถุดิบเพื่อนำมาใช้ในการผลิตในประเทศ หรือการนำสินค้าไปจำหน่าย และพัฒนาสู่การลงทุนผลิตสินค้าในต่างประเทศ เพื่อให้สามารถแข่งขันและกระจายสินค้าได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ กลุ่มประเทศที่มีความน่าสนใจและกรมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้แนะนำต่อนักลงทุนนั้น ประกอบด้วย กลุ่มประเทศเพื่อนบ้านและในอาเซียน อย่าง เมียนมาร์ กัมพูชา อินโดนีเซีย กลุ่มประเทศในเขตเอเชียใต้อย่างอินเดีย หรือประเทศในทวีปแอฟริกา อย่างแอฟริกาใต้ ซึ่งหลายแห่งมีทรัพยากรและวัตถุดิบที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้เป็นจำนวนมาก มีอัตราค่าจ้างแรงงานไม่สูง และยังมีตลาดขนาดใหญ่ หรือสามารถเชื่อมโยงไปสู่ตลาดอื่นๆ ในภูมิภาคได้