มหาสารคาม - ชาวบ้านบ้านวังไผ่ ต.ลาดพัฒนา จ.มหาสารคาม เรียกร้องขอความเป็นธรรมถูกผู้ใหญ่บ้านรีดค่านายหน้าเดินเรื่องรับค่าชดเชยน้ำท่วมหลังคาละ 1,000 บาท ขู่หากไม่ให้และเกิดน้ำท่วมอีกในปีหน้าจะไม่ช่วยเดินเรื่องให้
วันนี้ (16 ม.ค.) ที่ศาลากลางจังหวัดมหาสารคาม ชาวบ้านจากบ้านวังไผ่ หมู่ 7 ต.ลาดพัฒนา อ.เมือง จ.มหาสารคาม กว่า 50 คน รวมตัวเรียกร้องขอความเป็นธรรม กรณีถูกนายทองใส เลพล ผู้ใหญ่บ้านวังไผ่หมู่ 7 ต.ลาดพัฒนา อ.เมืองมหาสารคาม เรียกเก็บเงินช่วยเหลือชดเชยน้ำท่วมที่รัฐบาลจ่ายให้ครัวเรือนละ 5,000 บาทเมื่อปีที่ผ่านมา โดยชาวบ้านถูกเรียกเก็บครัวเรือนละ 1,000 บาท โดยนายทองใสอ้างว่าเป็นค่าดำเนินการ หากไม่จ่ายและเกิดน้ำท่วมในปีหน้า ก็จะไม่ดำเนินการติดตามค่าชดเชยให้
เรื่องดังกล่าว ชาวบ้านได้เคยร้องเรียนต่อทางอำเภอเมืองมหาสารคามมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2554 แต่เรื่องเงียบหาย จึงต้องมาเรียกร้องของความเป็นธรรมอีกครั้งในวันนี้
ด้าน นายเมธี สุพรรณฝ่าย นายอำเภอเมืองมหาสารคาม กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวทางอำเภอไม่ได้นิ่งนอนใจ ซึ่งหลังจากได้รับแจ้งจากชาวบ้านก็ได้ให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ไปสืบสวนข้อเท็จจริง พบว่าเรื่องดังกล่าวมีมูล ซึ่งอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน และได้ทำหนังสือแจ้งไปยังจังหวัดและกระทรวงมหาดไทยแล้ว
“หากผลการสอบสวนออกมาว่ามีความผิดจริงก็จะมีโทษทั้งทางวินัยและอาญา คือ ไล่ออกจากราชการ และจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย”
วันนี้ (16 ม.ค.) ที่ศาลากลางจังหวัดมหาสารคาม ชาวบ้านจากบ้านวังไผ่ หมู่ 7 ต.ลาดพัฒนา อ.เมือง จ.มหาสารคาม กว่า 50 คน รวมตัวเรียกร้องขอความเป็นธรรม กรณีถูกนายทองใส เลพล ผู้ใหญ่บ้านวังไผ่หมู่ 7 ต.ลาดพัฒนา อ.เมืองมหาสารคาม เรียกเก็บเงินช่วยเหลือชดเชยน้ำท่วมที่รัฐบาลจ่ายให้ครัวเรือนละ 5,000 บาทเมื่อปีที่ผ่านมา โดยชาวบ้านถูกเรียกเก็บครัวเรือนละ 1,000 บาท โดยนายทองใสอ้างว่าเป็นค่าดำเนินการ หากไม่จ่ายและเกิดน้ำท่วมในปีหน้า ก็จะไม่ดำเนินการติดตามค่าชดเชยให้
เรื่องดังกล่าว ชาวบ้านได้เคยร้องเรียนต่อทางอำเภอเมืองมหาสารคามมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2554 แต่เรื่องเงียบหาย จึงต้องมาเรียกร้องของความเป็นธรรมอีกครั้งในวันนี้
ด้าน นายเมธี สุพรรณฝ่าย นายอำเภอเมืองมหาสารคาม กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวทางอำเภอไม่ได้นิ่งนอนใจ ซึ่งหลังจากได้รับแจ้งจากชาวบ้านก็ได้ให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ไปสืบสวนข้อเท็จจริง พบว่าเรื่องดังกล่าวมีมูล ซึ่งอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน และได้ทำหนังสือแจ้งไปยังจังหวัดและกระทรวงมหาดไทยแล้ว
“หากผลการสอบสวนออกมาว่ามีความผิดจริงก็จะมีโทษทั้งทางวินัยและอาญา คือ ไล่ออกจากราชการ และจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย”
