นายวรกิจ สร้างศรีวงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ บีฟิท จำกัด (มหาชน) หรือ BSEC แจ้งผลงานไตรมาส 2 ปี 54 ว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 15.36 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 9.48 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 62.02% ขณะที่งวดครึ่งแรกปี 54 พบว่ามีกำไรสุทธิ 20.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 229.34 % เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ 6.37 ล้านบาทในปี 53
ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้กำไรสุทธิงวด 6 เดือนของปี 54 ปรับตัวสูงขึ้นคือ การเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ ซึ่งเพิ่มจากจำนวน 9.56 ล้านบาทในปี53 เป็นจำนวน 30.03 ล้านบาทในปีปัจจุบัน หรือเพิ่มขึ้น 214.01% เนื่องจากการปรับเพิ่มขึ้นของปริมาณเงินกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ของลูกค้าในบัญชีเครดิตบาลานซ์รายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลปรับตัวสูงขึ้นเช่นกันจากจำนวน 12.06 ล้านบาทในปี 53 เป็น 16.14ล้านบาทในปีปัจจุบัน หรือเพิ่มขึ้น 33.87% ซึ่งเป็นผลจากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากตลอดจนบริษัทรับรู้เงินปันผลจากการลงทุนของบริษัทรายการกำไรจากเงินลงทุนมีจำนวนเพิ่มขึ้นเช่นกันกล่าวคือเพิ่มขึ้น 16.48% เมื่อเปรียบเทียบ 8.60 ล้านบาทในปีก่อนหน้ากับ 10.01 ล้านบาทในปีปัจจุบันซึ่งเป็นผลจากการขายเงินลงทุนของบริษัทระหว่างงวด
อย่างไรก็ดีรายได้ค่านายหน้าของบริษัทปรับตัวลดลงกว่า 16.10 % เมื่อเทียบ 65.64 ล้านบาทในปี 53 กับจำนวน 55.07 ล้านบาทในปี 54 เนื่องจากบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดที่ลดลงในระหว่างงวด 6 เดือนที่ผ่านมา
ขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงลดลงเช่นกัน กล่าวคือลดลงจาก 90.68 ล้านบาทในงวด 6 เดือนปี 53 เปรียบเทียบกับจำนวน 84.81 ล้านบาทในปี 54 หรือลดลง 6.48 % ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายบริษัทปรับตัวลดลงคือค่าธรรมเนียมและบริการที่จ่ายหน่วยงานทางการที่ลดลงซึ่งแปรผันตามปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกค้าตลอดจนการลดลงของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคาร สถานที่ และอุปกรณ์ เป็นต้น
ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้กำไรสุทธิงวด 6 เดือนของปี 54 ปรับตัวสูงขึ้นคือ การเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ ซึ่งเพิ่มจากจำนวน 9.56 ล้านบาทในปี53 เป็นจำนวน 30.03 ล้านบาทในปีปัจจุบัน หรือเพิ่มขึ้น 214.01% เนื่องจากการปรับเพิ่มขึ้นของปริมาณเงินกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ของลูกค้าในบัญชีเครดิตบาลานซ์รายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลปรับตัวสูงขึ้นเช่นกันจากจำนวน 12.06 ล้านบาทในปี 53 เป็น 16.14ล้านบาทในปีปัจจุบัน หรือเพิ่มขึ้น 33.87% ซึ่งเป็นผลจากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากตลอดจนบริษัทรับรู้เงินปันผลจากการลงทุนของบริษัทรายการกำไรจากเงินลงทุนมีจำนวนเพิ่มขึ้นเช่นกันกล่าวคือเพิ่มขึ้น 16.48% เมื่อเปรียบเทียบ 8.60 ล้านบาทในปีก่อนหน้ากับ 10.01 ล้านบาทในปีปัจจุบันซึ่งเป็นผลจากการขายเงินลงทุนของบริษัทระหว่างงวด
อย่างไรก็ดีรายได้ค่านายหน้าของบริษัทปรับตัวลดลงกว่า 16.10 % เมื่อเทียบ 65.64 ล้านบาทในปี 53 กับจำนวน 55.07 ล้านบาทในปี 54 เนื่องจากบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดที่ลดลงในระหว่างงวด 6 เดือนที่ผ่านมา
ขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงลดลงเช่นกัน กล่าวคือลดลงจาก 90.68 ล้านบาทในงวด 6 เดือนปี 53 เปรียบเทียบกับจำนวน 84.81 ล้านบาทในปี 54 หรือลดลง 6.48 % ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายบริษัทปรับตัวลดลงคือค่าธรรมเนียมและบริการที่จ่ายหน่วยงานทางการที่ลดลงซึ่งแปรผันตามปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกค้าตลอดจนการลดลงของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคาร สถานที่ และอุปกรณ์ เป็นต้น
