นายวรกิจ สร้างศรีวงศ์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ บีฟิท จำกัด (มหาชน) หรือ BSEC แจ้งผลการดำเนินงานงวดสิ้นปี 52 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 52 ตามงบการเงินรวมพบว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 3.74 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 94.54 ล้านบาท หรือกำไรลดลง 90.80 ล้านบาท คิดเป็น 96.04 %
สำหรับงบการเงินเฉพาะกิจการก่อนตรวจสอบ พบว่าลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับผลกำไรสุทธิประจำปี 51 โดยปี 52 ที่ผ่านมารายได้รวมของบริษัทปรับตัวลดลง 231.94 ล้านบาทหรือลดลง 33.25% เมื่อเปรียบเทียบจาก 697.49 ล้านบาทในปี 51 ขณะที่ปี 52 รายได้รวมของบริษัทมี 465.56 ล้านบาท
โดยบริษัทมีรายได้จากค่านายหน้าการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง 164.93 ล้านบาทหรือ 32.80 % เมื่อเปรียบเทียบจาก 502.87 ล้านบาทในปี 51 กับ 337.94 ล้านบาท ในปี 52 เนื่องจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกค้าและส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทที่ลดลง ส่วนรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพิ่มขึ้น 17.96 ล้านบาทหรือ 221.77 % เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นปีที่บริษัทเริ่มมีธุรกรรมนายหน้าซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการต่ำลง เป็นผลต่อเนื่องจากการชะลอตัวของธุรกรรมจากสายงานวานิชธนกิจของบริษัท ส่วนกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง รวมทั้งดอกเบี้ยและเงินปันผลต่ำลงจากปีก่อน จากการย้ายงานของพนักงานและปริมาณเงินฝากที่ลดลง
สำหรับค่าใช้จ่ายนั้นปรับลดลงทั้งค่าใช้จ่ายการกู้ยืมเงินซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการลดลงของปริมาณการซื้อ ขายหลักทรัพย์ของลูกค้า ค่าธรรมเนียมและบริการจ่าย ตามปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ลดลง รวมทั้งหนี้สงสัยจะสูญล้วนลดลงจากลูกหนี้ของ
บริษัทที่ต่ำลง อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเกี่ยวกับพนักงานลดลง ซึ่งแปรผันตามปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ลดลงตลอดจนการลดลงของจำนวนพนักงานในระหว่างครึ่งปีหลังของปี 52 ส่วนค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคารสถานที่และอุปกรณ์ลดลง จากการลดลงของพนักงานและจำนวนสาขา
สำหรับงบการเงินเฉพาะกิจการก่อนตรวจสอบ พบว่าลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับผลกำไรสุทธิประจำปี 51 โดยปี 52 ที่ผ่านมารายได้รวมของบริษัทปรับตัวลดลง 231.94 ล้านบาทหรือลดลง 33.25% เมื่อเปรียบเทียบจาก 697.49 ล้านบาทในปี 51 ขณะที่ปี 52 รายได้รวมของบริษัทมี 465.56 ล้านบาท
โดยบริษัทมีรายได้จากค่านายหน้าการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง 164.93 ล้านบาทหรือ 32.80 % เมื่อเปรียบเทียบจาก 502.87 ล้านบาทในปี 51 กับ 337.94 ล้านบาท ในปี 52 เนื่องจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกค้าและส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทที่ลดลง ส่วนรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพิ่มขึ้น 17.96 ล้านบาทหรือ 221.77 % เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นปีที่บริษัทเริ่มมีธุรกรรมนายหน้าซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการต่ำลง เป็นผลต่อเนื่องจากการชะลอตัวของธุรกรรมจากสายงานวานิชธนกิจของบริษัท ส่วนกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง รวมทั้งดอกเบี้ยและเงินปันผลต่ำลงจากปีก่อน จากการย้ายงานของพนักงานและปริมาณเงินฝากที่ลดลง
สำหรับค่าใช้จ่ายนั้นปรับลดลงทั้งค่าใช้จ่ายการกู้ยืมเงินซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการลดลงของปริมาณการซื้อ ขายหลักทรัพย์ของลูกค้า ค่าธรรมเนียมและบริการจ่าย ตามปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ลดลง รวมทั้งหนี้สงสัยจะสูญล้วนลดลงจากลูกหนี้ของ
บริษัทที่ต่ำลง อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเกี่ยวกับพนักงานลดลง ซึ่งแปรผันตามปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ลดลงตลอดจนการลดลงของจำนวนพนักงานในระหว่างครึ่งปีหลังของปี 52 ส่วนค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคารสถานที่และอุปกรณ์ลดลง จากการลดลงของพนักงานและจำนวนสาขา