พะเยา - ตำรวจ สภ.จุน เชิญเจ้าหนี้-ลูกหนี้ ล้อมวงเจรจาแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นพยาน หลังจับกุมพวกทวงหนี้โหดข่มขู่ ส่งฟ้องศาล ขณะที่หนึ่งในลูกหนี้บอกเคยเครียดจนกินยาฆ่าตัวตายหนีการทวงหนี้มาแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดพะเยา วันนี้ (3 พ.ย.) ว่า ที่ สภ.จุน จ.พะเยา ได้มีบรรดาเจ้าหน้าที่ และลูกหนี้ ประมาณ 50 คน เดินทางมาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเป็นคนกลางในการเจรจาประนอมหนี้นอกระบบ
พ.ต.อ.รังสิต โลไทยสงค์ ผกก.สภ.จุน กล่าวว่า เนื่องจากมีพ่อค้า แม่ค้าและประชาชนในพื้นที่อำเภอจุน เข้าร้องเรียนขอความช่วยเหลือจาก นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.สงพะเยา เขต 2 รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 กรณีมีคนออกเงินกู้นอกระบบ คิดดอกเบี้ยร้อยละ20 โดยมีการข่มขู่ว่าจะทำร้ายร่างกาย ซึ่งมีบางรายหวาดกลัวจนหนีออกนอกพื้นที่
ต่อมาชุดปฏิบัติการของตำรวจได้ออกกวาดล้างจับกุมได้ จำนวน 4 ราย ผู้ต้องหา 7 คน ทางตำรวจได้ดำเนินคดี และส่งฟ้องศาล ปรับคนละ 500 บาท ส่วนโทษจำให้รอลงอาญา แต่หลังจากนั้นก็ยังมีการข่มขู่ลูกหนี้อยู่
ดังนั้น ตนจึงได้จัดโครงการดังกล่าวขึ้นเพื่อแก้ปัญหาในระยะยาว โดยนัดเจ้าหนี้-ลูกหนี้มาเจรจาประนอมหนี้ ในวันนี้ (3 พ.ย.) เพื่อแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ โดยนายวิสุทธิ์ มาพบปะพูดคุยเพื่อแก้ไขปัญหาด้วย ซึ่งมีเจ้าหนี้ 11 ราย และลูกหนี้ 30 ราย มาเจรจากัน
ทั้งนี้ ในการเจรจาจะพูดกันเฉพาะเงินต้นเท่านั้น ส่วนดอกเบี้ยที่เกินกว่ากฎหมายกำหนดจะถูกยกเลิก และหลังจากนั้น จะลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ส่วนเงินกู้ที่ลูกหนี้ยังไม่สามารถชำระได้ในวันนี้ นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ได้ประสาน รมช.กระทรวงการคลัง เพื่อให้ธนาคารของรัฐเปิดโอกาสให้ลูกหนี้นอกระบบได้กู้เงินจากธนาคารไปใช้หนี้ด้วย
ด้าน นางรัตนาภรณ์ ถาวรวงศ์ หนึ่งในลูกหนี้ที่เคยกินยาฆ่าตัวตายเพื่อหลบหนีการทวงหนี้อย่างโหดเหี้ยมจากนายลูกน้องนายทุนเงินกู้ กล่าวว่า นายทุนเงินกู้นอกระบบจะทำกันเป็นขบวนการ เมื่อเราไปกู้รายหนึ่งอีกหลายๆ ราย ก็จะตามเสนอเงื่อน จนเรายินยอมพร้อมกู้จนไม่สามารถผ่อนชำระได้ เพราะเงินกู้ที่ได้มาต้องหมุนเวียนใช้รายแรกเป็นงูกินหาง จึงอยากเตือนคนที่คิดจะกู้เงินนอกระบบ ขอให้ล้มเลิกความติด แล้วหันไปพึ่งเศรษฐกิจพอเพียงแทน
“โดยเฉพาะพวกเราอยู่ตามชนบท ผักไม้ใบหญ้าหากินได้อยู่แล้ว ไม่กู้เงินนอกระบบก็ไม่อดตาย แต่จะตายเพราะการทวงหนี้ ที่อับอายขายหน้า และหมดศักดิ์ศรีความมนุษย์จากพฤติกรรมของคนที่มาทวงหนี้มากว่า” นางรัตนาภรณ์ กล่าว