รมต.ประจำสำนักฯ ลงพื้นที่สระแก้ว

สระแก้ว - รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่เปิดสัมมนาองค์กรภาครัฐ เอกชน เพื่อให้คุ้มครองผู้บริโภคให้มีประสิทธิภาพ

วันนี้ (7 ก.ย.54) นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางมาเป็น ประธาน เปิดประชุมสัมมนาเพื่อเพิ่มศักยภาพ การดำเนินงานขององค์กรที่เกี่ยวข้องในการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค โดยมีนายศานิตย์ นาคสุขศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว นำนายจรชัย มูลทองโร่ย เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค พร้อมด้วยผู้ประกอบการ และผู้รับบริการเจ้าหน้าทีผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมโครงการ

นายจรชัย มูลทองโร่ย เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวว่า การจัดสัมมนาในครั้งนี้ถือเป็นก้าวแรกที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ได้เห็นความสำคัญของการดำเนินงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในส่วนภูมิภาค โดยจัดตั้งสำนักตรวจและประสานการคุ้มครองผู้บริโภค ภาค 2 ขึ้น เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานด้านการคุมครองผู้บริโภคให้มีประสิทธิภาพในการสนับสนุนตามตัวชี้วัดของจังหวัดอีกทางหนึ่ง

โดยจังหวัดสระแก้วเป็น 1 ใน 37 จังหวัดนำร่อง ที่เสนอการดำเนินงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภค การดำเนินงานครั้งนี้ขอให้ส่วนราชการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยเพราะอำเภอ ศึกษาตัวบทกฎหมาย, ระเบียบและกฎเกณฑ์ต่างๆ ในการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและให้การช่วยเหลือประชาชนผู้บริโภคที่ได้รับความเดือดร้อนจากการซื้อสินค้าหรือบริการในรูปแบบต่างๆ และเป็นการป้องกันเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบการให้มีจิตสำนึกในการผลิตสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพต่อผู้บริโภค.

หลังจากนั้น นายศานิตย์ นาคสุขศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว นำคณะนายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เข้าตรวจในห้างบิ๊กซีในจังหวัดสระแก้ว ในตลาดสระแก้ว เพื่อเป็นการแนะนำผู้ประกอบให้ปฏิบัติกฎหมายอย่างเคร่งครัดไม่ว่าเป็นร้านขายทองตลอดถึงร้านขายของทั่วไป

นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ส่วนใหญ่ในจังหวัดสระแก้วสินค้าทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ในบางส่วนที่จะต้องเพิ่มในด้านฉลากในชัดเจนว่าสินค้าจะหมดอายุเมื่อไรถ้าจะลดราคาสินค้าจะลดเมื่อไร พี่น้องชาวสระแก้วได้รับการคุ้มครองดีอยู่แล้ว สินค้าทุกอย่างจะต้องติดฉลากเหมือนกันหมด เพื่อจะได้ทราบว่าสินค้าอยู่เกตุใดเพื่อจะได้เลือกชื้อสินค้าถูก รัฐบาลถือว่าเป็นภาคบังคับ ถ้าไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะมีโทษทั้งจำทั้งปรับเริ่มตั้งแต่ติดคุก 6 เดือน หรือปรับถึง 50,000 บาท จึงขอฝากผู้ประกอบการในจังหวัดสระแก้วให้ปฏิบัติตามกฎหมาย อย่าโฆษณาเกินความจริงดังกล่าว