xs
xsm
sm
md
lg

พบกัมพูชาแอบทำแผนที่เอง ลากเส้นจากหลักเขต 73 ทับพื้นที่ อ.เกาะกูดไป 1 ใน 3

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ตราด - พบแผนที่ตำรวจน้ำเกาะกงลากเส้นจากหลักเขต 73 ทับพื้นที่ อ.เกาะกูดไป 1 ใน 3 ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศระบุ เกาะกูดเป็นของไทยตามสนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส ปี 2449 อดีตกำนันหาดเล็กแจงเขมรทำแผนที่โดยขีดขึ้นเองแต่ฝ่ายเดียว

จากปัญหาความสับสนว่า อ.เกาะกูด จ.ตราด เป็นของประเทศใดนั้น “ผู้สื่อข่าว” ได้พบแผนที่ของสำนักงานตำรวจน้ำเกาะกง จ.เกาะกง ประเทศกัมพูชา ระบุว่าเกาะกูดเป็นของประเทศกัมพูชา ประมาณ 1 ใน 3 ของ อ.เกาะกง กล่าวคือ แผนที่ที่ติดไว้บริเวณห้องรับแขกที่เขียนเป็นแผนที่ประเทศกัมพูชา และแผนที่ จ.เกาะกง พบว่า มีการขีดเส้นอาณาเขตทางบก และทางทะเล โดยยึดหลักเขตที่ 73 บ้านหาดเล็ก ต.หาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด

ทั้งนี้ ได้ลากเส้นไปยังละติจุด 101 ลิปดา 20 ลิปดา เหนือ ลองติจูด 11 ลิปดา 32 ลิปดา ตะวันออก และลาก ยาวผ่านไปยังภูเขาที่สูงที่สุดของ อ.เกาะกูด และยังลากไปยังเส้นลองจิจูด 101 ลิปดา 13 ลิปดาเหนือ และละติจูด 10 ลิปดา 59 ลิปดาตะวันออก และลากไปชนกับเส้นเขตเศรษฐกิจพิเศษ 120 ไมล์ทะเล ที่มากกว่า 150,000 ตารางกิโลเมตร โดยกัมพูชระบุว่าเส้นนี้เป็นที่ยึดตามข้อตกลงในปี 1972 หรือ 2515 ทั้งนี้ แผนที่ดังกล่าวเป็นแผนที่ที่กัมพูชาใช้เป็นพื้นที่อาณาเขตมาตลอดระยะเวลา 30 ปี

นายประเสริฐ ศิริ อดีตกำนัน ต.หาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด กล่าวว่า การขีดเส้นแดนของกัมพูชาที่ปรากฏในแผนที่ของส่วนราชการกัมพูชา หรือใน จ.เกาะกง เป็นการขีดขึ้นเองแต่ฝ่ายเดียว เพราะหลักเขตที่ 73 ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านหาดเล็ก เป็นจุดเล็งของพื้นที่อาณาเขตของ 2 ประเทศ แต่การเล็งจะต้องมีหลักเขตที่ 72 เป็นหลักอ้างอิงด้วย แต่ปัจจุบันยังไม่รู้ว่าหลักเขตที่ 72 อยู่บริเวณไหน ตนเองยืนยันว่าเกาะกูดเป็นของไทย 100% ทุกวันนี้ อ.เกาะกูดมีชาวตราดอาศัยอยู่ ทำประโยชน์ในที่ดินอยู่มานาน และไม่เคยมีใครเห็นหลักเขตที่ 74 ในเกาะกูดด้วย

ก่อนหน้านี้ กระทรวงการต่างประเทศนำโดยรองปลัดกระทรวงต่างประเทศ และรองอธิบดีกรมสารสนเทศได้เดินทางเข้ามาพบกับสื่อมวลชนท้องถิ่นของ จ.ตราด และได้ตอบคำถามถึงเรื่องเขตแดนของกัมพูชาใน อ.เกาะกูด ว่าเป็นของประเทศใด ซึ่งรองปลัดกระทรวงต่างประเทศ ได้ให้เจ้าหน้าที่กองเขตแดนกรรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงต่างประเทศได้ส่งเอกสารให้กับ ผู้สื่อข่าวท้องถิ่น

ในเอกสารระบุว่า “เกาะกูด และทรัพยากรในอ่าวไทย คือสมบัติของชาติไทยที่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนใน ข้อ 2 ของสนธิสัญญา ระหว่างสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามกับเปรสิเดนต์แห่งริปับลิกฝรั่งเสศ 23 มีนาคม ร.ศ. 125 พ.ศ. 2449/50 (ค.ศ.1907) กล่าวคือ

รัฐบาลฝรั่งเสศยอมยกดินแดนเมืองด่านซ้ายแลเมืองตราษกับทั้งเกาะทั้งหลาย ซึ่งอยู่ภายใต้แหลมสิงลงไปจนถึงเกาะกูดนั้นให้แก่กรุงสยาม ตามกำหนดเขตร์แดนดังว่าไว้ในข้อ 2 ของสัญญาว่าด้วยปักปันเขตรแดนดังกล่าวมาแล้ว”

กัมพูชาจึงไม่มีสิทธิในพื้นที่เกาะกูด นอกจากนี้เมื่อฝรั่งเศสได้ทำสัญญาระบุว่า ดินแดนดังกล่าวเป็นของประเทศไทยแล้ว ข้อมูลดังกล่าวก็ได้ถูกนำมาประกาศในราชกิจจานุเบกษาของไทย เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ร.ศ. 125 (ค.ศ. 1907) โดยระบุข้อความว่า “รัฐบาลฝรั่งเศสยอมยกดินแดนเมืองด่านซ้ายและเมืองตราดกับทั้งเกาะทั้งหลาย ซึ่งอยู่ภายใต้แหลมสิงลงไปจนถึงเกาะกูดนั้นให้แก่กรุงสยาม” เช่นเดียวกับในสนธิสัญญาฯ ดังนั้น จึงมีหลักฐานปรากฏชัดเจนว่า "เกาะกูด" เป็นสมบัติของไทยอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ กรมอุทกศาสตร์ได้สร้างกระโจมไฟบนเกาะกูด เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการเดินเรือทางทะเลของคนไทย และกระโจมไฟดังกล่าวก็อยู่ในเขตพื้นที่ที่ทหารเรือไทยดูแล จึงเป็นสิ่งที่แสดงได้อย่างชัดเจนว่า ไทยได้ถือครองกรรมสิทธิ์ในแผ่นดินเกาะกูดตลอดมา และกัมพูชาก็ไม่เคยอ้างสิทธิใดๆ


กำลังโหลดความคิดเห็น