ประจวบคีรีขันธ์ - ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง พร้อมตำรวจท่องเที่ยวหัวหิน นำกำลังบุกเข้าจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ชาวไต้หวันได้ที่บ้านพักใจกลางเมืองหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้ผู้ต้องหาชายหญิงรวม 14 คน พร้อมอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ ที่ใช้ในการโทร.หลอกเหยื่อในต่างประเทศ เบื้องต้นตำรวจตั้งข้อหาซ่องโจร
วันนี้ (26 ส.ค.) พ.ต.อ.อธิศวิส กมลรัตน์ ผกก.1 บก.สืบสวนสอบสวน สตม.พร้อมด้วย พ.ต.ท.ประวิทย์ ศิริธร สารวัตร กก.1 บก.สส.สตม.พ.ต.ท.รัฐพงศ์ แก้วยอด สารวัตรกลุ่มงาน บก.ปอท. พ.ต.ต.ศุภเสริษฐ ภู่ประเสริษฐ สารวัตรตำรวจท่องเที่ยว หัวหิน พร้อมกำลังตำรวจกว่า 20 นาย นำหมายศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เข้าตรวจค้นภายในบ้านพักเลขที่ 59/135 ตั้งอยู่ในหมู่บ้านคริสตัลวิลล์ ซอยหัวหิน 116 อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ หลังสืบทราบว่ามีกลุ่มชาวไต้หวัน และชาวจีน ใช้บ้านหลังดังกล่าวเป็นศูนย์กลางเปิดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โทรศัพท์หลอกลวงประชาชนนอกประเทศ ด้วยการให้พนักงานโทรศัพท์กลับไปยังประชาชนที่เกาะไต้หวันและประเทศจีน โดยใช้อุบายหลอกลวงว่าเป็นตำรวจ พบมีการกระทำความผิด ต้องโอนเงินเข้ามาในบัญชีธนาคารที่ไต้หวัน
นอกจากนั้น ทางตำรวจยังได้รับการประสานจากทางไต้หวัน ถึงพฤติกรรมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่มาใช้เมืองไทยเป็นจุดหลอกลวงประชาชน
เมื่อกำลังตำรวจผ่านทางเข้าหมู่บ้าน ซึ่งมี รปภ.รักษาความปลอดภัย บ้านเป้าหมายเป็นบ้านหลังใหญ่ชั้นเดียว ประตูรั้วบ้านถูกปิดภายในปิดเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเปิดประตูรั้วเข้าไป และเข้าไปยังบริเวณด้านหลังบ้าน ซึ่งพบแอร์ยังทำงานอยู่ แต่หน้าต่างทุกบานปิดสนิทเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงพยายามเปิดประตูบ้านด้านหลังเข้าไปพบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาย-หญิง ทั้งชาวไต้หวันและชาวจีนแผ่นดินใหญ่ พร้อมหญิงไทย และพม่า รวม 14 คน นั่งรวมตัวอยู่บริเวณโซฟาในห้องโถงกลาง
เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบพบทีวี 1 เครื่อง มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดเพื่อดูความเคลื่อนไหวบริเวณด้านหน้าบ้าน โดยภายในบ้านถูกจัดแบ่งเป็นออฟฟิศ มีเครื่องโทรศัพท์เชื่อมต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ต จำนวน 14 เครื่อง อยู่ทั้งในห้องโถง ห้องนอน ห้องนั่งเล่น และยังพบกล้องวงจรปิดขนาดจิ๋ว ถูกติดตั้งไว้ในกล่องบุหรี่ วางไว้บริเวณหน้าต่างที่หันออกไปหน้าบ้านเพื่อดูความเคลื่อนไหว นอกจากนั้น ยังพบเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กจำนวน 6 เครื่อง เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการยึดของกลางทั้งหมดเอาไว้
พร้อมกันนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจยังทราบอีกว่า มี นายโจ อายุ 44 ปี ชาวไต้หวัน รับเป็นหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมี น.ส.วิมล แซ่หลอ อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 827 หมู่ 1 อ.เวียงแห จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นแฟนสาวของนายโจ ทั้งนี้ นายโจ ให้การกับตำรวจว่า เพิ่งเข้ามาทำงานที่หัวหิน ประมาณ 1 เดือน โดยเช่าบ้านหลังดังกล่าวเดือนละ 47,000 บาท แต่ไม่ยอมบอกรายละเอียด ว่า ได้เงินจากการโทรศัพท์มาแล้วเท่าไหร่ บอกเพียงว่า ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เงินและไม่มีนายใหญ่กว่านี้ ตนเองเป็นหัวหน้าแก๊ง โดยจะให้เหยื่อที่ถูกหลอกโอนเงินไปเข้าบัญชีในธนาคารที่ไต้หวัน ซึ่งมีการตั้งเป้าไว้ห้าแสนแต่ยังไม่ทะลุเป้า
อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่เลือกหัวหิน เพราะค่าใช้จ่ายถูกสะดวก ที่อื่นไม่มีสาขามีเพียงที่หัวหิน ซึ่งตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ ส่วนพนักงานมีทั้งเงินเดือนและค่าคอมมิชชัน
พ.ต.อ.อธิศวิส กมลรัตน์ ผกก.1 ปบ.สืบสวนสอบสวน สตม.กล่าวว่า ชาวไต้หวัน และชาวจีนแผ่นดินใหญ่แก๊งนี้ ใช้พาสปอร์ตนักท่องเที่ยวเข้ามาประเทศไทย ตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา นอกจากนั้น แล้วตำรวจได้ตรวจสอบอย่างละเอียด พบว่า บ้านหลังดังกล่าวที่แก๊งนี้มาเช่าไว้ถือว่ามิดชิดเป็นอย่างมาก เพราะภายในบ้านมีผ้าปิดตามหน้าต่างเพื่อไม่ให้บุคคลภายนอกที่ผ่านไปมาได้เห็น มีการติดตั้งกล้องวงจรปิด
ภายในหมู่บ้านยังมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรวจสอบบุคคลเข้าออกตลอดเวลา ในบ้านมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกทุกอย่าง ทั้งสระน้ำ อ่างจากุชชี่ ตลอดจนอาหารที่ซื้อมาตุนไว้ในตู้เย็นขนาดใหญ่ ซึ่งวันนี้ช่วงที่ตำรวจเข้ามาแก๊งดังกล่าวเมื่อเห็นจึงผละจากเครื่องคอมพิวเตอร์ และมารวมตัวอยู่ที่โซฟา
“ตำรวจใช้เวลาแกะรอยแก๊งของนายโจ อยู่นานพอสมควร จนแน่ใจจึงวางแผนเข้าจับกุม ซึ่งจะดำเนินคดีในข้อหาซ่องโจรด้วย เพราะเกินกว่า 5 คน และทางนายโจ ก็ยอมรับสารภาพ” พ.ต.อ.อธิศวิส กล่าว
หลังจากนั้น ทางตำรวจได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาชาวไต้หวัน 10 คน ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ 2 คน คนไทย 1 คน พม่า 1 คน ไว้ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป