กาญจนบุรี - ชายพิการตาบอดสู้ชีวิตหารายได้เลี้ยงตัว สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ “สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ” ส่งเงินคืนกองทุนแม่ของแผ่นดินเพิ่มจาก 5 พัน เป็น 6 พันบาท ทั้งที่ไม่ต้องคืนเงิน เพราะต้องการให้คนด้อยโอกาสนำเงินไปใช้บ้าง
เมื่อเวลา 15.00 น.วันนี้ (9 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก นายบุญเนือง พุกนิลฉาย อายุ 58 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 ต.ท่ามะขาม อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ว่า นายประสงค์ ปิโย อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 50 หมู่ 2 ซึ่งเป็นผู้พิการตาบอดทั้งสองข้าง สามารถใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง และยังทำงานหารายได้เลี้ยงชีพตัวเอง เป็นคนสู้ชีวิตที่น่าจะเป็นบุคคลตัวอย่างที่สะท้อนชีวิตการสู้อย่างไม่ท้อถอย หลังได้รับเงินช่วยเหลือจากกองทุนแม่ของแผ่นดิน จนกระทั่งช่วยเหลือตัวเองได้ จึงตัดสินใจคืนเงินกองทุนเพื่อให้ผู้เดือดร้อนที่ช่วยตัวเองไม่ได้ไปใช้ต่อ
หลังจากนั้น ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบ พบว่า นายประสงค์ กำลังอยู่ภายในบ้าน ผู้สื่อข่าวจึงสอบถามข้อเท็จจริง นายประสงค์ เปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่า ตนมีอาการป่วยเป็นต้อกระจกตั้งแต่เกิด ซึ่งบิดาของตนที่อาศัยทำกินที่ จ.นครสวรรค์ ได้มารับตนไปเลี้ยงตั้งแต่อายุ 15-16 ปี ตนจึงได้ช่วยบิดาทำไร่ จากนั้นตนเริ่มมีอาการป่วยหนักขึ้นจนมองไม่เห็น
จนกระทั่งเมื่อประมาณปี 2545-2546 ตาได้บอดสนิททั้งสองข้าง และเมื่อปี 2553 นายสถิตย์ ปิโย ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 2 ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกันได้ทราบข่าวว่าตนยังมีชีวิตอยู่ จึงพาตนกลับมาอยู่ที่ จ.กาญจนบุรี เนื่องจากบิดาของตนได้แต่งงานใหม่ และได้ให้ตนทำกินในที่ดินของ นายสถิตย์ ซึ่งมีประมาณ 1 ไร่เศษ
ขณะเดียวกัน ตนได้รับเงินช่วยเหลือจากกองทุนแม่ของแผ่นดิน บ้านท่ามะขาม จำนวน 5,000 บาท จึงนำมาสร้างเป็นที่พักอาศัยแบบง่ายๆ เป็นบ้านก่อด้วยอิฐ และหลังคามุงสังกะสี และห้องน้ำก็ก่อสร้างในลักษณะเดียวกัน โดยมีผู้นำชุมชนและชาวบ้านช่วยกันจัดหาวัสดุก่อสร้างมาให้ส่วนหนึ่ง พร้อมกับช่วยกันลงมือก่อสร้างให้ จึงไม่เสียค่าแรง
หนุ่มพิการสู้ชีวิต กล่าวต่อว่า ตนสามารถใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง หาข้าวปลาอาหารกินเองได้ แต่บ้างครั้งก็มีชาวบ้านนำอาหารมาให้บ้าง นอกจากนี้ ตนยังลงมือทำการเกษตรเอง ทั้งปลูกข้าวโพด ปลูกมันสำปะหลัง เผาถ่าน น้ำส้มควันไม้ เพื่อหารายได้เลี้ยงตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ตนได้นำรายได้ที่หามาได้ส่งคืนกองทุนฯ โดยเมื่อเดือนเมษายนได้ส่งไปแล้วจำนวน 2,500 บาท และตั้งใจว่า ในวันที่ 12 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ตนจะส่งเงินคืนให้กับกองทุนฯ อีก 3,500 บาท เป็น 6,000 บาท เพื่อสมทบกองทุนให้เพิ่มขึ้น เพราะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงพระราชทานเงินจำนวนดังกล่าวมาช่วยเหลือตน ซึ่งตนหวังว่า เงินจำนวนดังกล่าวจะสามารถช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนคนอื่นๆ ได้ต่อไป และเผื่อในอนาคตหากตนมีความเดือดร้อนก็จะได้นำเงินจากกองทุนฯ มาใช้ได้อีก