ฉะเชิงเทรา - อธิบดีกรมอุทยานฯ รุดลงพื้นที่ทับลาน เสริมกำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติเดินหน้าลุยต้อนผู้บุกรุกพื้นที่ป่าอุทยานออกให้พ้นพื้นที่ เตรียม ฟันอ่วม ทั้งแพ่ง และอาญาต่อผู้กระทำผิด กว่า 102 ราย เผยการทำงานที่ผ่านมายังไร้แรงกดดันจากมือที่มองไม่เห็น
วันนี้( 16 ก.ค.54) เวลา 14.15 น. นายสุนันท์ อรุณนพรัตน์ อธิบดีกรม อุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้เดินทางลงพื้นที่มายัง อุทยานแห่งชาติทับลาน พื้นที่ ม.1 ต.บุพราหมณ์ อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี โดยมีเจ้าหน้าที่พิทักษ์ระดับปฏิบัติงานในพื้นที่ผืนป่าดงพญาเย็น ทั้ง 5 แห่ง ประกอบด้วยอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อุทยานแห่งชาติทับลาน อุทยานแห่งชาติปางสีดา เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ และอุทยานแห่งชาติตาพระยา คอยต้อนรับก่อนที่จะเข้าไปยังภายในห้องประชุมดงลาน ภายในที่ทำการ
ในการประชุมเป็นการประชุมลับไม่ได้อนุญาตให้สื่อมวลชนที่ติดตามมาทำข่าวเข้าร่วมรับฟังด้วย โดยใช้เวลาประมาณ 1.30 ชม. ก่อนที่จะออกมาปลูกต้นไม้ คือ ต้นลาน ที่ด้านหน้าที่ทำการ ก่อนที่จะให้สัมภาษณ์ สื่อมวลชนว่า ในวันนี้เป็นการเดินทางลงมาให้กำลังใจต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ หลังจากพื้นที่ป่าอุทยานแห่งชาติทับลาน ซึ่งเป็นมรดกโลก ได้ถูกกลุ่มทุนเข้ามาบุกรุก แผ้วถาง ปลูกไม้เชิงพาณิชย์ และสร้างรีสอร์ท
ที่ผ่านมา กรมอุทยานฯ ได้ทำการฟ้องร้องดำเนินคดีต่อผู้บุกรุกไปแล้วจำนวน 102 ราย เนื้อที่ถูกบุกรุกหลายร้อยไร่ ส่วนใหญ่ศาลได้มีคำสั่งให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกแล้ว ซึ่งก็มีทั้งผู้ที่มาแสดงตนยอมรับว่าเป็นผู้บุกรุกโดยขาดเจตนา ศาลได้มีคำสั่งยกฟ้องไม่เอาผิดทางอาญาต่อผู้บุกรุก และผู้ที่ยังฝ่าฝืนต่อสู้คดีขออุทธรณ์ในคำสั่ง กรมฯ จะดำเนินการทั้งทางคดีแพ่งและอาญา โดยคดีแพ่งจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายต่อพื้นที่เป็นเงินไร่ละ 6 หมื่น ถึง 1.5 แสนบาท ส่วนคดีอาญาจะดำเนินคดีเกี่ยวกับเรื่องของการบุกรุกและการทำไม้ท่อนที่พบในพื้นที่
ส่วนการขอรอมชอมจากภาคเอกชน ที่เข้ามาทำการดำเนินธุรกิจ หรือสร้างรีสอร์ตในพื้นที่ อุทยานนั้น ไม่สามารถทำได้เนื่องจากผิดกฎหมาย โดยเฉพาะในเขตอุทยานแห่งชาตินั้นเป็นไปไม่ได้เลย
จึงอยากฝากถึงผู้บุกรุกที่ยังดื้อดึง ที่จะอยู่ในพื้นที่ต่อไปนั้นว่า ไม่สามารถทำได้ ส่วนกลุ่มคนที่จะอยู่ในพื้นที่ต่อไปได้นั้น คือ ผู้ที่เคยเข้ามาทำกิน และอยู่อาศัยมาก่อนมติ ครม. เมื่อ วันที่ 30 มิ.ย.2541 ส่วนใหญ่ถูกเปลี่ยนมือโดยขายต่อให้ผู้อื่นจนมีเหลือน้อยแล้ว ซึ่งหากผู้ที่ครอบครองรายเดิมขายต่อให้แก่ผู้อื่นนั้น ถือว่าเป็นการสละสิทธิ์ ผู้ที่เคยอยู่อาศัยทำกินสามารถที่จะสืบทอดกันได้ด้วยการพิสูจน์ได้ว่าเป็นบุตรหลานเท่านั้น ที่จะอยู่ทำกินได้ต่อไปโดยไม่มีกรรมสิทธิ์ในการเป็นผู้ครอบครอง หรือเป็นเจ้าของในที่ดินผืนนั้นแต่อย่างใด โดยเป็นเพียงสิทธิ์การทำกินเท่านั้น
ส่วนการดำเนินการต่อผู้บุกรุกต่อไปนั้น จะมีห้วงเวลาในการที่จะบังคับคดีไล่ให้ผู้ที่เข้ามาบุกรุกทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป หากไม่ทำการรื้อถอนทางกรมฯ จะเข้ารื้อถอนให้
โดยผู้บุกรุกต้องถูกเรียกเก็บค่ารื้อถอนด้วย
ขณะเดียวกันในการดำเนินคดีที่ผ่านมานั้น กรมฯ ได้พยายามที่จะเข้าทำการจับกุมดำเนินคดีให้ได้ถึงตัวการที่แท้จริง ในขณะที่พบการกระทำผิดซึ่งหน้า แต่ส่วนใหญ่ยังพบว่าผู้บุกรุกที่ถูกจับกุมได้ส่วนใหญ่นั้น จะเป็นเพียงผู้ครอบครองแทนนายทุนตัวการที่แท้จริง โดยที่เราไม่มีอำนาจในการสอบสวนสาวไปให้ถึงตัวการให้ลึกมากไปกว่านี้ เนื่องจากเกินกว่าอำนาจ ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนในการดำเนินคดี
วันนี้( 16 ก.ค.54) เวลา 14.15 น. นายสุนันท์ อรุณนพรัตน์ อธิบดีกรม อุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้เดินทางลงพื้นที่มายัง อุทยานแห่งชาติทับลาน พื้นที่ ม.1 ต.บุพราหมณ์ อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี โดยมีเจ้าหน้าที่พิทักษ์ระดับปฏิบัติงานในพื้นที่ผืนป่าดงพญาเย็น ทั้ง 5 แห่ง ประกอบด้วยอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อุทยานแห่งชาติทับลาน อุทยานแห่งชาติปางสีดา เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ และอุทยานแห่งชาติตาพระยา คอยต้อนรับก่อนที่จะเข้าไปยังภายในห้องประชุมดงลาน ภายในที่ทำการ
ในการประชุมเป็นการประชุมลับไม่ได้อนุญาตให้สื่อมวลชนที่ติดตามมาทำข่าวเข้าร่วมรับฟังด้วย โดยใช้เวลาประมาณ 1.30 ชม. ก่อนที่จะออกมาปลูกต้นไม้ คือ ต้นลาน ที่ด้านหน้าที่ทำการ ก่อนที่จะให้สัมภาษณ์ สื่อมวลชนว่า ในวันนี้เป็นการเดินทางลงมาให้กำลังใจต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ หลังจากพื้นที่ป่าอุทยานแห่งชาติทับลาน ซึ่งเป็นมรดกโลก ได้ถูกกลุ่มทุนเข้ามาบุกรุก แผ้วถาง ปลูกไม้เชิงพาณิชย์ และสร้างรีสอร์ท
ที่ผ่านมา กรมอุทยานฯ ได้ทำการฟ้องร้องดำเนินคดีต่อผู้บุกรุกไปแล้วจำนวน 102 ราย เนื้อที่ถูกบุกรุกหลายร้อยไร่ ส่วนใหญ่ศาลได้มีคำสั่งให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกแล้ว ซึ่งก็มีทั้งผู้ที่มาแสดงตนยอมรับว่าเป็นผู้บุกรุกโดยขาดเจตนา ศาลได้มีคำสั่งยกฟ้องไม่เอาผิดทางอาญาต่อผู้บุกรุก และผู้ที่ยังฝ่าฝืนต่อสู้คดีขออุทธรณ์ในคำสั่ง กรมฯ จะดำเนินการทั้งทางคดีแพ่งและอาญา โดยคดีแพ่งจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายต่อพื้นที่เป็นเงินไร่ละ 6 หมื่น ถึง 1.5 แสนบาท ส่วนคดีอาญาจะดำเนินคดีเกี่ยวกับเรื่องของการบุกรุกและการทำไม้ท่อนที่พบในพื้นที่
ส่วนการขอรอมชอมจากภาคเอกชน ที่เข้ามาทำการดำเนินธุรกิจ หรือสร้างรีสอร์ตในพื้นที่ อุทยานนั้น ไม่สามารถทำได้เนื่องจากผิดกฎหมาย โดยเฉพาะในเขตอุทยานแห่งชาตินั้นเป็นไปไม่ได้เลย
จึงอยากฝากถึงผู้บุกรุกที่ยังดื้อดึง ที่จะอยู่ในพื้นที่ต่อไปนั้นว่า ไม่สามารถทำได้ ส่วนกลุ่มคนที่จะอยู่ในพื้นที่ต่อไปได้นั้น คือ ผู้ที่เคยเข้ามาทำกิน และอยู่อาศัยมาก่อนมติ ครม. เมื่อ วันที่ 30 มิ.ย.2541 ส่วนใหญ่ถูกเปลี่ยนมือโดยขายต่อให้ผู้อื่นจนมีเหลือน้อยแล้ว ซึ่งหากผู้ที่ครอบครองรายเดิมขายต่อให้แก่ผู้อื่นนั้น ถือว่าเป็นการสละสิทธิ์ ผู้ที่เคยอยู่อาศัยทำกินสามารถที่จะสืบทอดกันได้ด้วยการพิสูจน์ได้ว่าเป็นบุตรหลานเท่านั้น ที่จะอยู่ทำกินได้ต่อไปโดยไม่มีกรรมสิทธิ์ในการเป็นผู้ครอบครอง หรือเป็นเจ้าของในที่ดินผืนนั้นแต่อย่างใด โดยเป็นเพียงสิทธิ์การทำกินเท่านั้น
ส่วนการดำเนินการต่อผู้บุกรุกต่อไปนั้น จะมีห้วงเวลาในการที่จะบังคับคดีไล่ให้ผู้ที่เข้ามาบุกรุกทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป หากไม่ทำการรื้อถอนทางกรมฯ จะเข้ารื้อถอนให้
โดยผู้บุกรุกต้องถูกเรียกเก็บค่ารื้อถอนด้วย
ขณะเดียวกันในการดำเนินคดีที่ผ่านมานั้น กรมฯ ได้พยายามที่จะเข้าทำการจับกุมดำเนินคดีให้ได้ถึงตัวการที่แท้จริง ในขณะที่พบการกระทำผิดซึ่งหน้า แต่ส่วนใหญ่ยังพบว่าผู้บุกรุกที่ถูกจับกุมได้ส่วนใหญ่นั้น จะเป็นเพียงผู้ครอบครองแทนนายทุนตัวการที่แท้จริง โดยที่เราไม่มีอำนาจในการสอบสวนสาวไปให้ถึงตัวการให้ลึกมากไปกว่านี้ เนื่องจากเกินกว่าอำนาจ ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนในการดำเนินคดี
