ป.ป.ส.หนุนงบต่อเนื่อง-ดันหมู่บ้านต้นแบบปราบยาฯพะเยา

พะเยา - ป.ป.ส.หนุนงบประมาณภาคประชาสังคมพะเยา ยกระดับเป็นหมู่บ้านต้นแบบปราบยาฯ - รอง ผวจ.พะเยา เผย เยาวชนค้ายาเพิ่ม วอนภาคประชาสังคมเป็นหูตาทำงานร่วม จนท.จริงจัง

วันนี้ (7 ก.ค.) ที่ห้องประชุมโรงเรียนพะเยาพิทยาคม อ.เมืองพะเยา จ.พะเยา สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ภาค 5 ได้มอบเงินอุดหนุนตามโครงการ “เสริมสร้างความเข้มแข็งภาคประชาสังคม จ.พะเยา” ให้กับผู้แทนหมู่บ้านเป้าหมาย ที่ผ่านการพิจารณาคัดเลือกจากคณะกรรมการ 30 หมู่บ้านๆ ละ 8,000 บาท รวมเป็นเงิน 240,000 บาท ทั้ง 9 อำเภอใน จ.พะเยา โดยมี นายนิมิต วันไชยธนวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา เป็นประธานเพื่อนำไปใช้ในการพัฒนากระบวนการทำงานของหมู่บ้าน เป็นหมู่บ้านต้นแบบแก้ไขปัญหายาเสพติด หรือ ศูนย์การเรียนรู้ของหมู่บ้าน ให้กับหมู่บ้านข้างเคียงต่อไป

นางจีระพรรณ มุกุระ ผู้อำนวยการส่วนประสานพื้นที่ สำนักงาน ป.ป.ส.ภาค 5 เปิดเผยว่า การมอบเงินอุดหนุนหมู่บ้าน ตามโครงการดังกล่าว ปปส.มอบให้ทุกจังหวัดๆละ 30 หมู่บ้าน ซึ่งปปส.ยังคงอุดหนุนงบประมาณดำเนินการป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างต่อเนื่อง

สำหรับปัญหาการดำเนินการ หากหมู่บ้านใดมีความเข้มข้นของปัญหามาก เช่น มีผู้เสพมาก, ผู้ค้ามาก หรือมีผู้มีอิทธิพลเข้าไปเกี่ยวข้อง จนเกินกำลังของภาคประชาสังคม หรือชุมชนที่จะแก้ไขได้ ก็ขอให้ประสานโดยตรงมาที่สำนักงาน ป.ป.ส.หรือศูนย์ปฏิบัติการต่อสู่เพื่อเอาชนะยาเสพติดจังหวัด (ศตส.จ.) รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ทหาร และเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อประสานการทำงานร่วมกันในการแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงต่อไป

ด้าน นายนิมิต วันไชยธนวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ยอมรับว่า เยาวชนในพื้นที่ มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเข้าไปยุ่งเกี่ยว จากเป็น “ผู้เสพ” ยกระดับเปลี่ยนไปเป็น “ผู้ค้า” เพิ่มมากขึ้น จะเห็นได้จากสถิติการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่พบว่า มีเยาวชนจำนวนมากถูกจับกุมดำเนินคดี ในข้อหาค้ายาเสพติด ถูกควบคุมในสถานพินิจ และคุ้มครองเด็กฯ เป็นจำนวนมาก

ดังนั้น จึงขอฝากให้ภาคประชาสังคมจังหวัดพะเยา ซึ่งถือว่าเป็นคณะทำงานปราบปรามยาเสพติดของจังหวัดให้ช่วยเป็นหูเป็นตา รวมถึงทำงานแก้ไขปัญหายาเสพติดร่วมกับเจ้าหน้าที่อย่างจริงจัง เพื่อให้ยาเสพติดหมดไปจากสังคมไทย แม้ยังไม่มีความชัดเจนในนโยบายการป้องกัน และปราบปรามแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐบาลชุดใหม่ก็ตาม

“เชื่อว่า การแก้ไขปัญหาภาคประชาสังคมของพะเยา เดินมาถูกทางแล้ว เพราะคนในชุมชนย่อมทราบปัญหาในพื้นที่ดีกว่าอยู่แล้ว”