xs
xsm
sm
md
lg

ส่องสนามเลือกตั้งเขต 4 แปดริ้ว ศึกวัดพลังการเมืองสองขั้วใหญ่ สองตระกูลดังเปิดศึกประจันหน้า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.ต.ท.พิทักษ์ จารุสมบัติ อดีต นายตำรวจใหญ่เกษียณอายุราชการ
ฉะเชิงเทรา...รายงาน
 
เลือกตั้งเขต 4 แปดริ้ว วัดบารมีสองขั้วการเมือง พรรคฝ่ายค้าน ชนขวาก ฝ่ายรัฐบาล ผสมผสานการวัดดีกรี ของ 2 ตระกูลดังการเมืองในพื้นที่ ที่อาจส่งผลชี้วัดถึงอนาคตตัวผู้นำทางการเมืองระดับชาติ ที่จะได้เห็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ ที่ถูกมองว่าครอบด้วยเงาดำทะมึนบงการอยู่ฉากหลัง หรือจะได้ภาพนายกฯ หนุ่มรูปงามตามเดิม เป็นแกนนำนั่งบริหารประเทศคนต่อไป สนามนี้จึงทำให้ ทั้งสองขั้วจำต้องขับเคี่ยวกันอย่างสุดกำลัง

หากเอ่ยถึงตระกูลการเมืองดังในเขตย่านตัวเมืองแปดริ้วแล้วนั้น หลายคนคงนึกภาพออกขึ้นมาได้ในทันทีว่า คงหนีไม่พ้นไปจากตระกูล "ฉายแสง" ที่ในอดีตนั้น พี่ชายคนโตของตระกูลนี้ อย่าง นายจาตุรนต์ ฉายแสง ได้เคยมีดีกรีเป็นถึงแกนนำระดับแถวหน้าของ พรรค ไทยรักไทย ต่อเนื่องไปจนถึงการรักษาการหัวหน้าพรรค เมื่อครั้งพรรคนั้นเกิดภาวะเคว้งคว้างขาดหัวตัวผู้นำ ส่วนผู้ที่ครองแชมป์ยึดเก้าอี้ ส.ส.ในเขตเลือกตั้งที่ 4 ของชาวจังหวัดฉะเชิงเทรา นั้น ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือ ผู้ที่สืบทอดเชื้อสายทางการเมืองของคนสกุลเดียวกันนี้เอง อย่าง นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง น้องชายคนสุดท้องของตระกูล ที่เป็นผู้ครอบครองเก้าอี้แชมป์อยู่ในสนามมาอย่างต่อเนื่องถึง 3 สมัยซ้อน

ขณะที่คู่ท้าชิงที่จะมาลงแข่งแย่งตำแหน่งแชมป์ในสนามนี้ไปครองนั้น หากจะเอ่ยถึงตระกูลทางการเมือง ตระกูลดัง อีกตระกูลหนึ่งอย่าง "จารุสมบัติ" นั้น คอการเมืองระดับชาติก็คงจะคุ้นชื่อคุ้นหูกันมาเป็นอย่างดี เพราะผู้ที่มีชื่อ มีเสียงทางการเมือง และโด่งดังมาอย่างยาวนานไม่แพ้กัน ทางแถบภาคอีสานเหนือ อย่าง นายพินิจ จารุสมบัติ ผู้ซึ่งมีถิ่นฐานต้นกำเนิดเดิมอยู่ในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา เช่นเดียวกันนั้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ได้พยายามที่จะปลุกปั้น เสริมส่ง ช่วยกันอุ้มชูดันคนแถวหลัง ทั้งพี่ชายน้องสาวให้เข้าสู่เวทีทางการเมืองระดับชาติ มาหลายครั้งหลายหน เช่นเดียวกัน แต่ก็ถือว่ายังไม่ประสบความสำเร็จสมดังใจหมาย

สิ่งที่พลาดหวัง ผ่านพ้นโอกาสไปหลายครั้งแล้วนั้น ก็อาจเป็นเพราะเนื่องด้วยความห่างเหิน จากพื้นที่ไปไกลอย่างยาวนาน บารมีที่เคยสั่งสมมีมา ก็อาจไม่แผ่ซ่านซึมลึกเหมือนดั่งตระกูลดังฝ่ายตรงข้าม ที่เป็นคู่แข่ง ความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นมาใหม่ได้ในการลงสนามเมื่อครั้งเก่าก่อนที่ผ่านมานั้นจึงดูเหมือนยาก แต่มาถึงคราวนี้ เกมการเมืองได้มีแรงกระตุ้นที่แปรเปลี่ยนไป

พลังแห่งชัยชนะยังคงมองเห็นอยู่ได้ไม่ไกลเกินเอื้อมมากนัก แต่สิ่งนั้นต้องขึ้นอยู่กับการผสมผสาน ระหว่างพลังจากค่ายพรรคทางการเมืองต้นสังกัด และพลังจากตัวบุคคล พร้อมผสมโรงไปด้วยพลังแห่งชาติตระกูลและบารมีดั้งเดิมที่เคยมีมา จึงจะเติมเต็มให้สำเร็จผลลงได้ สมดังที่วาดหวังไว้

การลงสนามครั้งนี้ ตระกูล "จารุสมบัติ" นั้น ได้ส่งตัวแทนคนสำคัญ อย่าง พล.ต.ท.พิทักษ์ จารุสมบัติ อดีต นายตำรวจใหญ่เกษียณอายุราชการด้วยตำแหน่งสุดท้าย คือ ผบช. ภ.8 ลงสนาม ภายใต้ต้นสังกัดของพรรคใหญ่ ทางขวากฝ่ายรัฐบาล คือ พรรคประชาธิปัตย์ จึงทำให้การแข่งขันในสนามนี้เข้มข้นขึ้นมาอย่างทันตาเห็น

ด้วยเดิมทีแล้วนั้น พลังแห่งพรรคการเมืองนี้ ก็ถือว่ามีพลังอยู่ในตัวเองในพื้นที่ อย่างใช่ย่อยเลยทีเดียว หากได้ลองนำเอาคะแนนเสียง จากการเลือกตั้งเมื่อครั้งก่อนที่ผ่านไปแล้วนั้น มาลองพิจารณา ก็จะเห็นได้ว่าการเลือกตั้งในรูปแบบของระบบบัญชีรายชื่อนั้น พรรคการเมืองพรรคนี้ได้กวาดเอาคะแนนเสียงไปได้อย่างถล่มทลาย จนเต็มไม้เต็มมือ และขึ้นนำเป็นอันดับหนึ่งมากกว่าพรรคการเมืองใดๆ ในเขตโซนนี้ จนอาจกล่าวได้ว่า พรรคการเมืองนี้มีพลังอยู่ในตัวเองเป็นทุนเดิมอยู่แล้วในพื้นที่

ต่อมาเมื่อลองมาพิจารณาถึงตัวบุคคลผู้สมัคร ในการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งในครั้งก่อน ที่ผ่านๆ มาของพรรคประชาธิปัตย์ นั้น ถือว่าดีกรีทางการเมืองในตัวผู้สมัครรายเก่าก่อนนั้น ยังมาไม่ถึง หรือยังมีบารมีไม่มากเพียงพอ ที่จะเป็นคู่แข่งต่อกรกับขั้วตระกูลการเมืองใหญ่ ที่มีการสืบทอดเชื้อสายทางการเมืองกันมาอย่างยาวนาน จากรุ่นพ่อลงสู่รุ่นลูกได้ แต่มาถึงครานี้ คนของตระกูล "จารุสมบัติ" นั้น ก็ถือได้ว่ามีดีกรีและพลังอยู่ในตัวเอง ที่เดิมในอดีตนั้น ได้เคยเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ระดับนายพล ที่เข้ามากุมกำลังอำนาจในตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 2 อยู่ในพื้นที่ จนท้ายที่สุดยังได้รับตำแหน่งเป็นถึงผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ก่อนเกษียณอายุราชการ

ศึกเลือกตั้งในครั้งนี้ จึงถือว่าเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรี ของทั้งสองค่าย และสองตระกูล ใหญ่ ทั้ง "จารุสมบัติ" และ "ฉายแสง" ที่ต้องสำแดงกำลัง ฟัดเหวี่ยงต่อกรกันในสนามเลือกตั้ง อย่างสุดเรี่ยวสุดแรง

ขณะที่ดอกไม้ประดับในสนาม อย่าง นายจักรวาล ท้วมเจริญ ผู้สมัครจากค่ายพรรคภูมิใจไทยนั้น ก็ยังถือว่าประมาทไม่ได้อีกเช่นเดียวกัน เนื่องด้วยผู้สมัครรายนี้ ถือได้ว่าเป็นมวยที่เจนสนาม และเคยลงสมัครรับเลือกตั้งมาแล้วหลายครั้งหลายหน ในนามของพรรคประชาธิปัตย์เอง จนทำคะแนนตีตื้น จากคนในตระกูลใหญ่อย่าง "ฉายแสง" มาได้แล้วอย่างไม่ไกลกันนักจนอาจเรียกได้ว่าเป็นรองแชมป์เก่ามาก่อนในสนาม

แต่การลงสนามที่เปลี่ยนไปคราวนี้ ก็อาจด้วยมีเหตุจำเป็นบางประการ ที่ต้องสับราง หลีกทางโยกย้าย ให้กับคนจากตระกูลการเมืองดังอย่าง "จารุสมบัติ" ผู้ซึ่งมีพลังอยู่ภายในพรรคอันดับใหญ่โต ที่เป็นถึงเพื่อนร่วมรุ่น เดียวกันกับคนในระดับผู้จัดการพรรคอย่าง

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อครั้งเรียนวิชาการทางด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยใหญ่ทางภาคเหนือ (มช.) ม้ารองสนาม อย่าง นายจักวาล ท้วมเจริญ จึงจำเป็นต้องหอบหิ้วเอาความชอกช้ำใจ ไปซบลงกลางอกของพรรคภูมิใจไทยแทน

ส่วนผู้สมัคร ที่มาอย่างม้านอกสายตาอีกราย คือ นายวีรพันธ์ หัตถโชติ จากค่าย พรรคกิจสังคม นั้น ก็คงหวังผลทางการเมืองในสนามนี้ได้ยากยิ่งนัก ก็ด้วยเหตุเพราะคนส่วนใหญ่ในสังคมนั้น ยังคงไม่มีใครเคยได้รู้จัก ในตัวผู้สมัครรายนี้กันมาก่อน ว่าเป็นใครมาจากไหนจึงยากที่จะทำ คะแนนให้แก่ผู้คนได้เลือก ได้กา เป็นคะแนนเสียงให้ได้

ศึกเลือกตั้งสนามนี้ จึงถือได้ว่าเป็นสนามเลือกตั้งที่จะมีการประชันกันถึงความยิ่งใหญ่เป็นสนามแห่งการวัดเบ่งบารมี ของคนจากสองค่าย สองตระกูลดังทางการเมืองไปในตัว และยังถือได้ว่าเป็นเขตเลือกตั้งแห่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในระดับชาติระหว่าง สองขั้วใหญ่ทางการเมือง ว่า ฝ่ายใดจะได้เก้าอี้ที่นั่ง ส.ส.เพิ่ม ฝ่ายใดจะเสียเก้าอี้เก่าที่เคยครองไป

หรืออาจจะรักษาตำแหน่งแชมป์กอดเก้าอี้เอาไว้ได้แน่น ล้วนแล้วแต่มีผลทางการเมืองต่อเก้าอี้ตัวใหญ่ ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปทั้งสิ้น

 นายจักรวาล ท้วมเจริญ ผู้สมัครจากค่ายพรรคภูมิใจไทย

นายวีรพันธ์ หัตถโชติ จากค่าย พรรคกิจสังคม
กำลังโหลดความคิดเห็น