ศูนย์ข่าวภาคเหนือ - นายยกเทศมนตรีเขลางค์นครออกโรงโต้ข้อหาคู่ขัดแย้งประธานสภาฯ จนเป็นเหตุให้มีการยิงถล่มบ้านกันกลางดึก เชื่อเป็นเรื่องความขัดแย้งในชุมชนมากกว่า หลัง ปธ.สภาฯ เคยถูกร้องเรียนใช้เงิน SML ผิดประเภทจนชาวบ้านไม่พอใจ
นายไพฑูรย์ โพธิ์ทอง นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองเขลางค์นคร อ.เมืองลำปาง เปิดเผยว่า จากกรณีคนร้ายใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิด ยิงขู่หน้าบ้านนายพันธ์ศักดิ์ คำแก้ว อายุ 61 ปี ประธานสภาเทศบาลเมืองเขลางค์นคร อ.เมือง จ.ลำปาง ที่เปิดเป็นร้านอาหารชื่อ “ลาบวังแคว้ง” เมื่อช่วงกลางดึกของวันที่ 27 พฤษภาคม 2554 ที่ผ่านมา ซึ่งในเหตุการณ์ดังกล่าวนายพันธ์ศักดิ์ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเกี่ยวกับการเมืองท้องถิ่น โดยเฉพาะการเมืองฝั่งตรงข้ามที่หมายถึงฝั่งตนเองนั้น ไม่ได้ก่อให้เกิดผลดี ทั้งต่อตัวเองและภาพรวมของสมาชิกสภาเทศบาลเมืองเขลางค์นครแต่อย่างใด
นายไพฑูรย์บอกว่า ความจริงแล้วนายพันธ์ศักดิ์มีปัญหาความขัดแย้งกับชาวชุมชนอยู่ก่อนแล้ว โดยก่อนนี้มีชาวบ้านได้นำหนังสือหรือจดหมายเปิดผนึกของนายพันธ์ศักดิ์มาให้ตนดูแล้ว ในกรณีที่จังหวัด ได้มีคำสั่งให้เทศบาลดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง คือ เรื่องที่นายพันธ์ศักดิ์ มีความขัดแย้งกับชาวชุมชนวังแคว้ง และมีการร้องเรียนถึงนายอธิคม สุพรรณพงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดมาแล้วในเรื่องการาใช้งบประมาณ SML จำนวน 200,000 บาท ทำโครงการธนาคารขยะ ซึ่งมีการนำเงินไปใช้ผิดประเภทส่วนหนึ่ง คือ ก่อสร้างอาคาร 100,000 บาท ที่เหลือใช้เป็นเงินหมุนเวียนในการรับซื้อขยะรีไซเคิล แต่ในส่วนที่สองนี้กลับนำไปซื้อข้าวเปลือก เป็นการใช้เงินผิดประเภท สร้างความไม่พอใจให้กับชาวชุมชนและได้เข้าร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัด
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม นายพันธ์ศักดิ์ได้ทำจดหมายเปิดผนึกโต้ข้อกล่าวหาของชาวชุมชน และอ้างผลงานที่ได้ทำมาตลอด อีกทั้งได้แสดงถึงความไม่พอใจที่ชาวบ้านเข้าใจผิด เพราะไม่มีชื่อในคณะกรรมการชุมชน แต่ความเป็นจริงแล้วนายพันธ์ศักดิ์เคยเป็นประธานชุมชนของชุมชนนี้
นายกเทศบาลเมืองเขลางค์นครยังกล่าวอีกว่า ตนกับนายพันธ์ศักดิ์ไม่มีความขัดแย้งใดๆ เพราะเคยอยู่กลุ่มพัฒนาเมืองเขลางค์นครมาด้วยกัน ตั้งแต่ปี 2547-2551 อีกทั้งความสนิทสนมส่วนตัว และครอบครัวก็เคารพซึ่งกันและกันอยู่แล้ว ในทางการเมืองก็ไม่มีอะไรต่อกัน ต่างคนต่างทำหน้าที่
“ขอยืนยันว่าเหตุที่ยิงหน้าบ้าน ไม่เกี่ยวข้องกับการจะผ่านหรือไม่ผ่านงบฯ 65 ล้านบาทในการก่อสร้างสำนักงานใหม่ของเทศบาลอย่างแน่นอน”
ทั้งนี้ เพราะฝ่ายบริหารก็ปฏิบัติตามหน้าที่ ฝ่ายสภาก็ทำไปตามอำนาจหน้าที่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องคำนึงถึงประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ และศักดิ์ศรีของข้าราชการเทศบาลเมืองเขลางค์นคร เนื่องจากที่ทำการปัจจุบันคับแคบ และอาศัยพื้นที่ของที่ว่าการอำเภอเมืองอยู่ อีกทั้งโครงการก่อสร้างสำนักงานแห่งใหม่ก็สานต่อจากนายกคนก่อน คือ นายดนูดล วรรณปลูก ที่ได้ซื้อที่ดินไว้แล้ว เป็นเงินกว่า 60 ล้านบาท จากที่ขอจ่ายขาดจากเงินสะสม เมื่อตนมาเป็นนายกก็สานต่อนโยบายของนายกฯคนเดิม ในการก่อสร้างอาคาร และเดินตามกรอบอำนาจหน้าที่ ด้วยการขอจ่ายขาดเงินสะสม 65 ล้านบาท และกู้ธนาคารอีก 135 ล้านบาท รวมใช้เงินสร้าง 200 ล้านบาท ถ้าหากอนุมัติก็ดำเนินการได้ทันที ส่วนเงินกู้ ปีหน้าเป็นงบประมาณใหม่ เงินสะสมก็เพิ่มมาใหม่ ในส่วนที่จะกู้อาจไม่จำเป็นก็ได้
ดังนั้น เมื่อสภาฯ ไม่ผ่านให้ก็ต้องหาช่องทางอื่นในการหางบประมาณ ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปข่มขู่ประธานสภาฯ เพราะเสียงที่มีอยู่แม้กลุ่มพลังไทยจะไม่ให้ผ่าน ซึ่งชนะ 11 ต่อ 6 เสียง ประธานสภาไม่จำเป็นต้องชี้ขาด การยิงข่มขู่ก็ไม่จำเป็น ทุกอย่างต้องเดินหน้าด้วยกระบวนการของกฎหมายและขั้นตอน เพื่อประโยชน์ของประชาชน