หนองคาย- ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ชี้อัตราเงินเฟ้ออีก 12 เดือนข้างหน้า ปรับสูงขึ้นร้อยละ 4-6 ส่งผลต่อสินค้าอุปโภคบริโภค แนะสถาบันการเงินดูแลผู้บริโภค ให้รายละเอียดการลงทุนความเสี่ยงก่อนตัดสินใจ เหตุปัจจัยเกิดทั้งภายในและภายนอกประเทศ แม้เศรษฐกิจไทยโตขึ้นกว่าปีก่อน
เมื่อเวลา 14.00 น.วันนี้ (20 พ.ค.) ที่ห้องประชุมทับทิม โรงแรมแกรนด์ พาราไดซ์ หนองคาย ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวกับผู้บริหารสาขาสถาบันการเงินในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและนครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินและนโยบายสถาบันการเงิน ว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตในทิศทางที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ คาดว่า ตลอดทั้งปีเศรษฐกิจโดยรวมจะโตขึ้นร้อยละ 4.1 แต่ยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยสำคัญทั้งราคาน้ำมัน ภัยพิบัติในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศแถบตะวันออกกลาง ซึ่งคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อใน 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ร้อยละ 4-6 สูงขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้เมื่อต้นปีร้อยละ 2 ทำให้มีอิทธิพลต่อการตรึงราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศ
ดังนั้น นโยบายทางการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะดำเนินการต้องดูแลเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน ในการสร้างความมั่นคงให้ระบบสถาบันการเงิน และมีระบบบริหารความเสี่ยงที่ดีรองรับความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจได้
ส่วนสถาบันการเงินแต่ละแห่งควรเข้าถึงการบริการให้ผู้บริโภคได้รับความเป็นธรรม ให้ความรู้รายละเอียดความเสี่ยงของผลิตภัณฑ์แก่ผู้บริโภคก่อนการตัดสินใจ และบริหารจัดการระบบสินเชื่ออย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยป้องกันปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการเงิน และระบบเศรษฐกิจของทั้งสถาบันการเงินและผู้บริโภคไปพร้อมกัน
เมื่อเวลา 14.00 น.วันนี้ (20 พ.ค.) ที่ห้องประชุมทับทิม โรงแรมแกรนด์ พาราไดซ์ หนองคาย ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวกับผู้บริหารสาขาสถาบันการเงินในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและนครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินและนโยบายสถาบันการเงิน ว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตในทิศทางที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ คาดว่า ตลอดทั้งปีเศรษฐกิจโดยรวมจะโตขึ้นร้อยละ 4.1 แต่ยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยสำคัญทั้งราคาน้ำมัน ภัยพิบัติในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศแถบตะวันออกกลาง ซึ่งคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อใน 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ร้อยละ 4-6 สูงขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้เมื่อต้นปีร้อยละ 2 ทำให้มีอิทธิพลต่อการตรึงราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศ
ดังนั้น นโยบายทางการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะดำเนินการต้องดูแลเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน ในการสร้างความมั่นคงให้ระบบสถาบันการเงิน และมีระบบบริหารความเสี่ยงที่ดีรองรับความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจได้
ส่วนสถาบันการเงินแต่ละแห่งควรเข้าถึงการบริการให้ผู้บริโภคได้รับความเป็นธรรม ให้ความรู้รายละเอียดความเสี่ยงของผลิตภัณฑ์แก่ผู้บริโภคก่อนการตัดสินใจ และบริหารจัดการระบบสินเชื่ออย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยป้องกันปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการเงิน และระบบเศรษฐกิจของทั้งสถาบันการเงินและผู้บริโภคไปพร้อมกัน
