ไม่รับเผือกร้อนช่วงเลือกตั้ง ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ลั่น ไม่ได้รับรายงานเงินในระบบล่องหน 1 หมื่นล้านบาท แต่หากถูกถอนจริงคงตามยาก และไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะปัจจุบันมีเงินหมุนเวียนในระบบถึง 1.1 ล้านล้านบาท เตือนอย่าดึง ธปท.เข้าสู่เกมการเมือง พร้อมเผย 5 เดือนต่างชาติขนเงินเข้าสุทธิ 1 หมื่นล้านเหรียญ แต่ล่าสุด เริ่มมีไหลออก-ผันผวนมากขึ้น
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าช่วงใกล้เลือกตั้งมีเงินหายในระบบเศรษฐกิจจำนวน 1 หมื่นล้านบาท และเจ้าหน้าที่ ธปท.ได้แจ้งความต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า ขณะนี้ ธปท.ยังไม่ได้รับรายงานและไม่มีเจ้าหน้าที่ ธปท.คนใดแจ้งความในเรื่องดังกล่าว โดย ธปท.ยังคงทำหน้าที่ตามปกติ และหากหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้ หรือดูแลความเรียบร้อยการเลือกตั้งขอความช่วยเหลือเข้ามา ธปท.ก็พร้อมจะให้ความร่วมมือด้านต่างๆ
“เงินที่ใช้หมุนเวียนอยู่ในระบบเหมือนกับบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่เงินสดผ่านมืออยู่ในรูปแบบต่างๆ และหลากหลายที่ ทำให้ภาพรวมกว้างเกินไปและตรวจสอบได้ยาก หากเงินจำนวน 1 หมื่นล้านบาทหายออกไปจากระบบมีโอกาสผิดสังเกตค่อนข้างยาก เพราะในแง่เม็ดเงินค่อนข้างน้อย หรือคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 1% ของเงินที่ใช้หมุนเวียนอยู่ในระบบค่อนข้างมากประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท แต่หากใครแจ้งเบาะแสเฉพาะจุด เราก็จะช่วยตรวจสอบเป็นพิเศษได้ง่ายกว่า”
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการทยอยเบิกเงินสดล่วงหน้าก่อนการเลือกตั้ง ทำให้ปริมาณเงินในระบบลดลงไม่มาก ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่า การเบิก หรือถอนเงินสดก็จะมีการผ่านมือตลอดเวลา ทำให้บางช่วงเงินเพิ่มขึ้นหรือลดลงบ้าง แต่โดยรวมแล้วเงินยังอยู่ในระบบอยู่ ขณะที่บางฝ่ายมองว่าอาจมีเงินใหม่จากต่างประเทศเข้ามา ทำให้เงินในระบบไม่ได้มีความผิดปกติมองว่าไม่น่าจะมีเหตุจูงใจให้ทำถึงขนาดนั้น เพราะเงินในระบบค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม แม้ก่อนหน้านี้มีข่าวเงินในระบบหายและขณะนี้เริ่มมีข่าวลักษณะเช่นนี้กลับมาอีกครั้งในช่วงการเลือกตั้งไม่น่าจะดึง ธปท.เข้ามาสู่เกมการเมือง
จับตานโยบาย ศก.ดันเงินเฟ้อพุ่ง
สำหรับนโยบายประชานิยมหาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ ที่จะเน้นการแจกจ่าย ซึ่งอาจมีผลให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวสูงขึ้นในอนาคตนั้นมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่หากพูดถึงรายจ่ายคนจะสบายใจ เพราะได้ของมา แต่เมื่อพูดถึงการจัดเก็บรายได้เข้าคลัง คนจะเริ่มไม่สบายใจและ เท่าที่สังเกตนักเศรษฐศาสตร์ของแต่ละพรรคการเมืองคำนึงเรื่องนี้อยู่ จึงไม่น่ากระทบต่อเสถียรภาพระยะยาว อย่างไรก็ตามต้องรอดูการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่มาก่อน เพราะจะมีการจัดทำแผนบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งคาดว่า เกิดขึ้นในเดือน ส.ค.หรือเดือน ก.ย.นี้ ถึงช่วงนั้นจะมีความชัดเจนมากขึ้น
“อัตราเงินเฟ้อเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่ง เราเองอยากให้เศรษฐกิจไทยเจริญเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน เพื่อให้ภาคธุรกิจ เศรษฐกิจ ประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขัน เพราะหากเงินเฟ้อสูงเกินไปก็อาจมีผลต่อต้นทุนต่างๆ เพิ่มขึ้นด้วย ทำให้ประชาชนถูกกระทบตามมาได้” ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวและว่า ความจำเป็นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งต่อไปยังไม่อยากจะพูดถึงในขณะนี้ เพราะมีผลโดยตรงต่อตลาดการเงินและตลาดพันธบัตรได้ จึงไม่อยากเป็นการชี้นำเรื่องดังกล่าว
5 เดือนต่างชาติขนเงินเข้าหมื่นล้านเหรียญ
นายประสาร กล่าวว่า ในปัจจุบันไทยและประเทศในกลุ่มเอเชียมีเงินทุนไหลเข้า-ออกค่อนข้างมากทั้งจากการค้าขายเห็นได้จากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด การลงทุนรูปแบบต่างๆ พบว่า ล่าสุด ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ มีเงินทุนไหลเข้าสุทธิ 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ถือว่าจำนวนเงินมากกว่าเมื่อเทียบไตรมาส 2 ของปีก่อนที่เกิดปัญหาทางการเมือง โดยนักลงทุนต่างชาติจะนิยมลงทุนในตราสารหนี้ ส่วนในตลาดหุ้นบางเดือนมีการไหลเข้า แต่ล่าสุด นักลงทุนต่างชาติกลับเป็นการขายสุทธิ แต่ในปริมาณที่น้อยอยู่
“หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ทยอยขึ้นอัตราดอกเบี้ยยังไม่เห็นแรงกดดันจากเงินทุนเคลื่อนย้าย สะท้อนได้จากเงินบาทค่อนข้างนิ่งในขณะนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังไม่เข้มแข็ง ประเทศเล็กๆ ในยุโรปยังไม่เรียบร้อย ทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่กล้าซื้อสินทรัพย์มากนัก อย่างไรก็ตาม ยังมีเงินไหลเข้าและออกในลักษณะ 2 ทิศทางอยู่แต่ในระยะหลังสิ่งที่เห็นเพิ่มขึ้น คือ ความเร็วในการไหลเข้าและออก”
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าช่วงใกล้เลือกตั้งมีเงินหายในระบบเศรษฐกิจจำนวน 1 หมื่นล้านบาท และเจ้าหน้าที่ ธปท.ได้แจ้งความต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า ขณะนี้ ธปท.ยังไม่ได้รับรายงานและไม่มีเจ้าหน้าที่ ธปท.คนใดแจ้งความในเรื่องดังกล่าว โดย ธปท.ยังคงทำหน้าที่ตามปกติ และหากหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้ หรือดูแลความเรียบร้อยการเลือกตั้งขอความช่วยเหลือเข้ามา ธปท.ก็พร้อมจะให้ความร่วมมือด้านต่างๆ
“เงินที่ใช้หมุนเวียนอยู่ในระบบเหมือนกับบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่เงินสดผ่านมืออยู่ในรูปแบบต่างๆ และหลากหลายที่ ทำให้ภาพรวมกว้างเกินไปและตรวจสอบได้ยาก หากเงินจำนวน 1 หมื่นล้านบาทหายออกไปจากระบบมีโอกาสผิดสังเกตค่อนข้างยาก เพราะในแง่เม็ดเงินค่อนข้างน้อย หรือคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 1% ของเงินที่ใช้หมุนเวียนอยู่ในระบบค่อนข้างมากประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท แต่หากใครแจ้งเบาะแสเฉพาะจุด เราก็จะช่วยตรวจสอบเป็นพิเศษได้ง่ายกว่า”
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการทยอยเบิกเงินสดล่วงหน้าก่อนการเลือกตั้ง ทำให้ปริมาณเงินในระบบลดลงไม่มาก ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่า การเบิก หรือถอนเงินสดก็จะมีการผ่านมือตลอดเวลา ทำให้บางช่วงเงินเพิ่มขึ้นหรือลดลงบ้าง แต่โดยรวมแล้วเงินยังอยู่ในระบบอยู่ ขณะที่บางฝ่ายมองว่าอาจมีเงินใหม่จากต่างประเทศเข้ามา ทำให้เงินในระบบไม่ได้มีความผิดปกติมองว่าไม่น่าจะมีเหตุจูงใจให้ทำถึงขนาดนั้น เพราะเงินในระบบค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม แม้ก่อนหน้านี้มีข่าวเงินในระบบหายและขณะนี้เริ่มมีข่าวลักษณะเช่นนี้กลับมาอีกครั้งในช่วงการเลือกตั้งไม่น่าจะดึง ธปท.เข้ามาสู่เกมการเมือง
จับตานโยบาย ศก.ดันเงินเฟ้อพุ่ง
สำหรับนโยบายประชานิยมหาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ ที่จะเน้นการแจกจ่าย ซึ่งอาจมีผลให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวสูงขึ้นในอนาคตนั้นมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่หากพูดถึงรายจ่ายคนจะสบายใจ เพราะได้ของมา แต่เมื่อพูดถึงการจัดเก็บรายได้เข้าคลัง คนจะเริ่มไม่สบายใจและ เท่าที่สังเกตนักเศรษฐศาสตร์ของแต่ละพรรคการเมืองคำนึงเรื่องนี้อยู่ จึงไม่น่ากระทบต่อเสถียรภาพระยะยาว อย่างไรก็ตามต้องรอดูการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่มาก่อน เพราะจะมีการจัดทำแผนบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งคาดว่า เกิดขึ้นในเดือน ส.ค.หรือเดือน ก.ย.นี้ ถึงช่วงนั้นจะมีความชัดเจนมากขึ้น
“อัตราเงินเฟ้อเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่ง เราเองอยากให้เศรษฐกิจไทยเจริญเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน เพื่อให้ภาคธุรกิจ เศรษฐกิจ ประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขัน เพราะหากเงินเฟ้อสูงเกินไปก็อาจมีผลต่อต้นทุนต่างๆ เพิ่มขึ้นด้วย ทำให้ประชาชนถูกกระทบตามมาได้” ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวและว่า ความจำเป็นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งต่อไปยังไม่อยากจะพูดถึงในขณะนี้ เพราะมีผลโดยตรงต่อตลาดการเงินและตลาดพันธบัตรได้ จึงไม่อยากเป็นการชี้นำเรื่องดังกล่าว
5 เดือนต่างชาติขนเงินเข้าหมื่นล้านเหรียญ
นายประสาร กล่าวว่า ในปัจจุบันไทยและประเทศในกลุ่มเอเชียมีเงินทุนไหลเข้า-ออกค่อนข้างมากทั้งจากการค้าขายเห็นได้จากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด การลงทุนรูปแบบต่างๆ พบว่า ล่าสุด ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ มีเงินทุนไหลเข้าสุทธิ 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ถือว่าจำนวนเงินมากกว่าเมื่อเทียบไตรมาส 2 ของปีก่อนที่เกิดปัญหาทางการเมือง โดยนักลงทุนต่างชาติจะนิยมลงทุนในตราสารหนี้ ส่วนในตลาดหุ้นบางเดือนมีการไหลเข้า แต่ล่าสุด นักลงทุนต่างชาติกลับเป็นการขายสุทธิ แต่ในปริมาณที่น้อยอยู่
“หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ทยอยขึ้นอัตราดอกเบี้ยยังไม่เห็นแรงกดดันจากเงินทุนเคลื่อนย้าย สะท้อนได้จากเงินบาทค่อนข้างนิ่งในขณะนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังไม่เข้มแข็ง ประเทศเล็กๆ ในยุโรปยังไม่เรียบร้อย ทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่กล้าซื้อสินทรัพย์มากนัก อย่างไรก็ตาม ยังมีเงินไหลเข้าและออกในลักษณะ 2 ทิศทางอยู่แต่ในระยะหลังสิ่งที่เห็นเพิ่มขึ้น คือ ความเร็วในการไหลเข้าและออก”
