xs
xsm
sm
md
lg

จาก ‘ยิงถล่มร้านน้ำชา’ ถึง ‘ฆ่าไทยพุทธ’ปมที่ถูกผูกไว้ในความมืด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เหตุโจรใต้ยิงและเผาไทยพุทธ 2 สามีภรรยาดับอนาถ ขณะกลับจากซื้อของที่ตลาดนัด บนถนนสายยะลา-เบตง บ้านกาโสด  อ.บันนังสตา จ.ยะลา  เป็นหนึ่งในหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ศูนย์ข่าวหาดใหญ่

เหตุการณ์ยิงถล่มร้านน้ำชาที่บ้านกาสัง อ.บันนังสตา จ.ยะลา เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีชาวบ้านเสียชีวิต 4 คน บาดเจ็บ 17 คน ต่อเนื่องด้วยการฆ่าแล้วเผาชาวไทยพุทธ 2 ผัวเมียในพื้นที่เดียวกัน ถ้ามองว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่เกิดขึ้นกับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ยะลา ปัตตานีและนราธิวาส กับ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลาคือ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย เพราะมีเหตุการณ์ในลักษณะนี้ดำเนินต่อเนื่องมาแล้วถึง 7 ปี ก็ต้องถือว่ามองได้ไม่น่าจะผิดนัก

เนื่องเพราะพื้นที่นี้มีความขัดแย้งและมีการสู้รบระหว่าง “เจ้าหน้าที่รัฐ” กับ “กองกำลังของขบวนการแบ่งแยกดินแดน” มาโดยตลอด !!

แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปแล้วจะพบว่า “เหยื่อ” ทั้งหมดเป็น “ชาวบ้าน” มีทั้งที่เป็นผู้ใหญ่ เด็กและสตรี ที่สำคัญคนในร้านน้ำชาและร้านชำทั้งหมดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสู้รบระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและขบวนการแบ่งแยกดินแดน ชาวบ้านที่ตายและเจ็บจึงคือ “เหยื่อ” ของสถานการณ์อย่างแท้จริง

ดังนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้จะเคยเกิดขึ้นในลักษณะนี้เป็นประจำ จนเหมือนเป็นปรากฏการณ์ประจำถิ่น แต่หน่วยงานของรัฐ โดยเฉพาะ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ต้องตระหนักว่า เป็นเรื่องร้ายแรงที่จะต้องป้องกันชีวิตของชาวบ้านผู้บริสุทธิ์เหล่านี้ให้ได้ผล ?!

เรื่องทั้งหมดจึงไม่ควรจบลงที่การ “เยียวยา” ครอบครัวผู้สูญเสีย หรือแค่การแสดงความเสียใจที่เจ้าหน้าที่รัฐ ไม่สามารถดูแลชาวบ้านให้ปลอดภัยจากการกระทำของแนวร่วมขบวนการ แต่ “กอ.รมน.” และหน่วยงานอื่นๆ รวมทั้ง “ตำรวจ” และ “ฝ่ายปกครอง” ต้องหายุทธวิธีและดำเนินวิธีการเพื่อป้องกัน รับมือ และติดตามผู้ทำความผิดมาลงโทษให้ได้

ทั้งนี้ เพื่อสร้างความรู้สึกกับคนในพื้นที่ให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่รัฐมีขีดความสามารถ ในปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ใช่อยู่ไปวันๆ แค่คุ้มครองฐานปฏิบัติการของตนเอง ลาดตระเวนตามห้วงเวลา แต่ไม่สามารถป้องกันเหตุร้ายได้ ซึ่งสุดท้ายสังคมยิ่งเห็นถึงความ “ไร้ประสิทธิภาพ” และ “เสียดายงบประมาณ” จำนวนหมื่นล้านแสนล้านที่ถูกถมให้ละลายลงไปกับการแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ประเด็นปัญหาคือ สถานที่เกิดเหตุทั้ง 5 จุดอยู่ริมถนนใหญ่สายยะลา-เบตง เป็นถนนสายหลัก เป็นเส้นทางสายเศรษฐกิจ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ ในพื้นที่ อ.บันนังสตา มีกองกำลังของ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ทั้งทหารราบ ทหารม้า ทหารพราน ตชด. ตำรวจ สภ.บันนังสตา อส. และ ชรบ. ปฏิบัติหน้าที่เป็นจำนวนมาก เพราะ อ.บันนังสตา เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญของขบวนการ “บีอาร์เอ็นฯ” มาโดยตลอด

คำถามคือ บนถนนสายดังกล่าว และในห้วงเวลาระหว่าง 18.00 น. ที่เป็นเวลาเกิดเหตุ มี “จุดบอด” หรือมี “ช่องว่าง” ตรงไหน จึงปล่อยให้เกิดเหตุร้ายกับประชาชนถึง 5 จุด รวมทั้งหลังเกิดเหตุทำไมจึงไม่มี “เบาะแส” ให้สืบจับคนร้ายได้แม้แต่คนเดียว ??

ทั้งที่วิธีการของแนวร่วมผู้ก่อเหตุยังคงใช้รูปแบบเดิมๆ นั่นคือ ใช้รถกระบะเป็นพาหนะในการก่อเหตุ แต่งกายด้วยเครื่องแบบคล้ายกับเจ้าหน้าที่รัฐ ใช้อาวุธปืนสงครามเช่นเดียวกับที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้ และรถยนต์ที่ใช้ก่อเหตุก็เหมือนกับรถยนต์ที่เจ้าหน้าที่ใช้ตรงที่ “ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน” เป็นต้น

ดังนี้แล้วอย่าว่าแต่ชาวบ้านที่แยกแยะไม่ออกว่าคนในรถยนต์ที่ขับไป-มาในชายแดนใต้เป็นของแนวร่วมผู้ก่อความไม่สงบ หรือเป็นของเจ้าหน้าที่รัฐในสังกัดใด จึงเชื่อว่าแม้แต่ทหารและตำรวจด้วยกันก็ยังตอบไม่ได้ว่า ไหนคือแนวร่วม และไหนคือกองกำลังเจ้าหน้าที่รัฐ ?!

และอีกปรากฏการณ์ที่พัฒนาขึ้นของแนวร่วมผู้ก่อความไม่สงบคือ หลายต่อหลายครั้งในพื้นที่ จ.นราธิวาส และ จ.ยะลา แนวร่วมจะ “แต่งกายในเครื่องแบบทหาร” และนำ “แผงกั้น” ตั้งจุดตรวจบนถนนสายหลัก ทำทีตรวจค้นรถยนต์ของชาวบ้าน แต่แล้วกลับทำการปล้นทรัพย์และปล้นรถยนต์ และรถยนต์ที่ถูกปล้นไปเหล่นั้นก็กลายเป็นพาหนะนำไปยิงจุดตรวจของเจ้าหน้าที่ หรือนำไปประกอบเป็นคาร์บอมบ์เพื่อใช้ก่อเหตุนั่นเอง

สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นวิธีการที่ไม่ได้ยุ่งยาก หรือไม่ได้ซับซ้อนจนยากที่จะแก้ไข หรือป้องกันอะไรเลย เพราะเมื่อดูพื้นที่ที่ทุกหน่วยงานบอกว่า “หมู่บ้านสีแดง” ลดลง และกำลังของ กอ.รมน.ชุดพัฒนาสันติ และหน่วยรบต่างๆ เข้าควบคุมพื้นที่ได้มากขึ้น ถนนสายหลักๆ มีเพียงไม่กี่สาย ในขณะที่กำลังทหารที่ดูแลอยู่มีถึง 60,000 นาย นี่ยังไม่รวมทหารพราน ตชด. ตำรวจ อส. และ ชรบ. ซึ่งถ้านำมารวมกันทั้งหมดจะมีกำลังฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐรวมกันไม่ต่ำกว่า 100,000 นาย

จำนวนกองกำลังฝ่ายรัฐขนาดนี้ ทำไม่จึงไม่สามารถ “บูรณาการ” และ “วางยุทธวิธี” ให้เกิดประสิทธิภาพ เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้ประชาชนอย่างได้ผล ??

เพราะการที่แนวร่วมผู้ก่อความไม่สงบยังใช้วิธีการเก่าๆ เดิมๆ สร้างสถานการณ์ จนสามารถสร้างความสูญเสียได้อย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ได้บ่งบอกให้ทราบว่า “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ไม่มีแผนในการ “แก้ทาง”ของแนวร่วม ไม่มียุทธวิธีใหม่เพื่อทำลายยุทธวิธีเก่าๆ เดิมๆ ของแนวร่วม ทั้งที่การปล้นปืน ปล้นค่าย คาร์บอมบ์ ยิงชาวบ้านในร้านค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำซากและเป็นไปในรูปแบบเดิมๆ ทั้งสิ้น

ตรงนี้คือความ “ข้องใจ” ของประชาชนในพื้นที่ถึงประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ?!

ในท่ามกลางความไร้ประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่รัฐในการรักษาความปลอดภัยให้แก่ประชาชน จึงมีคำถาม “แทรกซ้อน” จากประชาชนในพื้นที่ว่า หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการยิงถล่มร้านค้า 5 แห่ง ครั้งล่าสุดที่บ้านกาโสด อ.บันนังสตา จ.ยะลา เป็นการกระทำของแนวร่วมจริงหรือไม่

เพราะมี “ลางบอกเหตุ” และมี “เลศนัย” หลายประการ ซึ่งคนในท้องที่เชื่อว่าเหตุร้ายที่เกิดขึ้น “เป็นการสร้างสถานการณ์” เพื่อหวังผลประโยชน์ของคนกลุ่มหนึ่ง และนัยดังกล่าว แม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐบางหน่วยงานต่างมีความเชื่อมั่นว่า เป็นการสร้างสถานการณ์อย่างแน่นอน

จึงเป็นโจทย์ที่หนักอึ้งของ “กองทัพ” และ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ที่ต้องหาคำตอบให้แก่สังคมให้ได้โดยเร็วว่า ถ้าเป็นการสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้น ใครเป็นคนสร้าง และจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร อีกทั้งใครจะเป็นคนแก้ ?!

เนื่องเพราะยิ่งนานวัน “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ก็จะยิ่งตกอยู่ในฐานะของ “เจ้าภาพ” ดับไฟใต้ที่ “หมดเครดิต” หรือ “หมดความน่าเชื่อถือ” จากสังคมส่วนใหญ่ในพื้นที่ไปแล้ว ?!?!
กำลังโหลดความคิดเห็น