ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - “หลวงพ่อคูณ” อาพาธเข้า รพ.ด่วน เหตุอ่อนเพลีย หนาว และอาเจียน หลังกรำงานปลุกเสกพระกริ่งให้บิ๊กนักการเมือง-สื่อใหญ่ ลูกศิษย์นำส่ง รพ.มหาราชโคราช เช้ามืด แพทย์คาดติดเชื้อในกระแสเลือด ด้าน ผู้ว่าฯโคราช รุดเยี่ยม ทำขึงขังจัดระเบียบเคาะหัว-รับกิจนิมนต์ และปลุกเสกวัตถุมงคลให้ชัดเจน โดยออกเป็นประกาศของจังหวัด ขู่ใครแหกกฎถูกเชือด และประจานสังคม เชื่อ นักการเมืองให้ความร่วมมือ
วันนี้ (25 เม.ย.) เมื่อเวลา 11.00 น.ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา คณะแพทย์และศิษยานุศิษย์ได้นำพระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ) เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ลงจากห้องผู้ป่วยพิเศษ 9821 ชั้น 8 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เข้าตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์บริเวณช่องท้อง ที่ห้องอัลตราซาวนด์ เพื่อตรวจหาจุดติดเชื้อ หลังลูกศิษย์ได้นำหลวงพ่อคูณ เข้ารักษาที่โรงพยาบาลเป็นการด่วน ด้วยอาการหนาวสั่น อ่อนเพลีย ฉันภัตตาหารไม่ได้ และอาเจียน ตั้งแต่เมื่อช่วงเช้ามืดวันนี้
โดยใช้เวลาตรวจอัลตราซาวนด์ประมาณ 20 นาที ก่อนลูกศิษย์จะนำหลวงพ่อคูณ กลับเข้าพักผ่อนที่ห้องผู้ป่วยพิเศษ ขณะที่หลวงพ่อคูณยังมีอาการอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด และในระหว่างที่นอนบนรถเข็นคนไข้ หลวงพ่อคูณ ไม่ลืมตา และไม่พูดคุยกับใคร
ต่อมาเวลา 12.00 น.นายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ได้นำกระเช้าดอกไม้ และผลไม้เข้าเยี่ยมอาการอาพาธ ของหลวงพ่อคูณ พร้อมสอบถามอาการโดยรวมจากคณะแพทย์ที่ทำการรักษา และหารือกับศิษย์ผู้ใกล้ชิดถึงการรับกิจนิมนต์ การเคาะหัวญาติโยม และการทำพิธีปลุกเสกต่างๆ ซึ่งก่อนเกิดอาการอาพาธหลวงพ่อคูณ ได้ทำพิธีมหาพุทธาภิเษก พระกริ่ง และ พระชัยวัฒน์ เทพวิทยาคม เมื่อวันเสาร์ (23 เม.ย.) ที่อุโบสถวัดบ้านไร่ โดยมี นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี, ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี รองประธานกรรมการวัดบ้านไร่ และ นายขรรค์ชัย บุนปาน ประธานเครือมติชน ร่วมกันจัดสร้างขึ้น ซึ่งหลวงพ่อคูณนั่งทำพิธีนานร่วมชั่วโมง ถึงขั้นลูกศิษย์ต้องอุ้มลงไปพักผ่อนที่กุฏิ เนื่องจากเดินไม่ไหว
นายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า จากการสอบถามแพทย์ ทราบว่า ผลการตรวจโดยทั่วไป ทั้งปอด หัวใจ ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่อาการก่อนที่ลูกศิษย์จะนำมารักษาที่โรงพยาบาล เนื่องจากหลวงพ่อมีอาการอ่อนเพลีย หนาว แต่ไม่มีไข้ และนำหนักลดลงเนื่องจากฉันไม่ค่อยได้ต่อเนื่องมาหลายวัน ขณะนี้น้ำหนักลดเหลือเพียง 35 กิโลกรัมเท่านั้น ซึ่งคณะแพทย์ได้ให้การรักษาโดยให้ยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อ ซึ่งเป็นตัวยาที่เคยให้แล้วได้ผลมาก่อนหน้านี้ และรอผลการตรวจเลือดอย่างละเอียดอีกครั้ง
การให้ยาฆ่าเชื้อไปก่อนนั้น เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด และทรุดเร็ว ฉะนั้น อาการโดยรวมที่เห็นอยู่ขณะนี้ คือ ยังอ่อนเพลียอยู่ แต่ไม่มีไข้ แนวทางการรักษาของแพทย์คือให้น้ำเกลือเพื่อเป็นสารอาหารในการฟื้นฟูร่างกายหลวงพ่อไปก่อน หากพบว่ามีการติดเชื้อในกระแสเลือดจะดูอีกครั้งว่ายาที่ให้ไปตอบสนองต่อเชื้อโรคหรือไม่ หากตอบสนองจะยืนการรักษาเช่นนี้ต่อไป
ส่วนจะให้หลวงพ่อคูณพักรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลนานเท่าใด ยังตอบไม่ได้ ต้องรอผลการตรวจเลือดออกมาก่อนในอีก 2-3 วัน แต่ที่จำเป็นอย่างยิ่งคือ หากหลวงพ่อ หายจากอาการอาพาธแล้วอยากให้ฟื้นฟูร่างกายให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น และแข็งแรงกลับมาระดับหนึ่งก่อนแล้วค่อยนิมนต์ท่านกลับวัดบ้านไร่
นายระพี กล่าวต่อว่า จากการอาพาธของหลวงพ่อคูณครั้งนี้ ซึ่งท่านอายุ 88 ปีแล้ว เป็นผู้สูงอายุที่จะทำอะไรหักโหมมากไม่ได้ จากนี้ไปจำเป็นต้องมาพูดกันชัดเจน เนื่องจากในวัดมีลูกศิษย์มาก และมีความเกรงใจกันไปมา บางครั้งคำสั่งของแพทย์ก็ถือปฏิบัติไม่ได้ ทั้งเรื่องการรับกิจนิมนต์ และการเคาะหัวญาติโยม หรือการให้เข้ากราบนมัสการ ตนจึงได้มอบหมายให้ นายสมศักดิ์ เหมทานนท์ รองผู้ว่าฯนครราชสีมา ไปหารือกับคณะแพทย์ และลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดเพื่อออกเป็นประกาศของจังหวัด ในการที่จะทำให้คำสั่งของแพทย์มีผลปฏิบัติจริง เพราะที่ผ่านมาแพทย์ได้เตือนตลอดในเรื่องการงดรับกิจนิมนต์ และการเข้ากราบนมัสการให้ห่างอย่างน้อย 1 เมตร เป็นต้น
ฉะนั้น การออกประกาศของทางจังหวัดครั้งนี้ จะมีการกำหนดในเรื่องวันที่จะเปิดให้ญาติโยมเข้ากราบนมัสการ และวันที่งดรับเคาะหัวญาติโยมรวมถึงการปลุกเสกวัตถุมงคล หรือการรับกิจนิมนต์ต่างๆ ซึ่งจะประกาศให้ญาติโยมทั่วประเทศได้รับทราบโดยทั่วกัน และหากใครไม่ปฏิบัติตามประกาศของทางจังหวัดต้องมีบทลงโทษ เช่น หากเป็นข้าราชการต้องถูกลงโทษสำหรับคนที่มาแหกกฎ และประกาศให้รู้ทั่วกันว่าใครแหกกฎนั้น มีประสงค์ดี หรือประสงค์ร้าย เพื่อจะได้รู้กันโดยทั่วไป
“ทั้งหมดนี้ขอเรียนว่า ทุกคนรักและศรัทธาในตัวหลวงพ่อ แต่ความเกรงอกเกรงใจกันในระบบสังคมไทยยังมีอยู่ คำสั่งแพทย์ไม่สามารถนำไปปฏิบัติจริงได้ ผมเองเห็นใจคณะลูกศิษย์ใกล้ชิด เพราะมีหลายคน บางคนเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ จะมาก็จะกราบให้ได้ หรือนิมนต์หลวงพ่อไปให้ได้ บางคนลำบากใจ ฉะนั้น ในฐานะเป็นผู้ว่าฯ ได้รับมอบหมายมาให้ดูแลทุกข์สุขของพี่น้องประชาชน หลวงพ่อคูณเป็นศูนย์รวมจิตใจของพี่น้องประชาชนโคราช ชาวไทย และชาวต่างประเทศด้วย ผมไม่คิดจะขัดแย้งกับใคร หรือไม่ได้ทำไปเพราะอคติ แต่ทำตามหน้าที่ของผู้ว่าฯและถึงเวลาที่จะต้องพูด” นายระพี กล่าว
สำหรับประกาศจังหวัดจะห้ามปรามนักการเมืองได้หรือไม่ นายระพี กล่าวว่า ตนไม่อยากบอกว่านักการเมืองเป็นต้นเหตุ แต่ถ้านักการเมืองเขารู้ คิดว่าเขาคงไม่อยากทำ ไม่มีใครอยากให้หลวงพ่อเป็นเช่นนี้ แต่บางครั้งมันเกรงใจกันไปมา ซึ่งความจริงแล้วสิ่งที่ทุกคนทำก็ทำบนประโยชน์ของส่วนรวม แต่บางครั้งอาจเผลอไปบ้าง นานไปบ้าง อาจทำให้เกิดความผิดพลาดได้
“ฉะนั้น การที่อาพาธแต่ละครั้งนั้นไม่อยากให้โทษใคร ให้โทษผู้ว่าฯ คนเดียว โทษที่ไม่ยอมเอาคำสั่งแพทย์ไปให้ลูกศิษย์ได้ถือปฏิบัติ และจากนี้ต่อไปก็อย่าโทษกัน สังคมของเราชอบโทษคนนั้นคนนี้ ผมไม่อยากจะโทษ ทุกคนมีเหตุผลที่อยากจะทำเพื่อส่วนรวมทั้งนั้น เพียงแต่บางมุมมองทำให้เกิดปัญหาได้แค่นั้น” นายระพี กล่าว